(1) กบกับหนู
หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย
กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า
" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "
เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึงความใจดำของกบ
เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรง
ก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน
*** คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสียหาย
(2) กวางป่ากับพวงองุ่น
กวางป่าวิ่งไปในเพิงองุ่นเพื่อซ่อนตัวจากการตามล่า ของนายพราน
" ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น "
กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาต
เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้นเเต่ไม่พบกวางป่า ก็จึง วิ่งไปอีกทางหนึ่ง
กวางป่าเห็นว่าปลอดภัยเเล้วจึงกัดพวงองุ่นอย่าง เอร็ดอร่อย
" เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย "
ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงว่า
" ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินเจ้าอยู่ดีนั่นเเหละ "
ขณะที่กัดกินพวงองุ่นเอง พรานอีกคนหนึ่งผ่นมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ใต้เพิงองุ่นจึงเล็งธนูยิงใส่กวางป่าทันที
*** คนไม่รู้บุญคุณคนมักประสบความหายนะ
(3) กากับนกนางเเอ่น
นกนางเเอ่นถามกาว่า
" เจ้าว่าขนของข้ากับขนของเจ้า ใครจะงามกว่ากัน "
กามองขนของตนเเล้วตอบว่า
" ข้าว่าขนของข้าก็สวยดีนะ "
นกนางเเอ่นขยับปีกพลางว่า
" เเต่เจ้าดูสิ ขอนของข้าดูสวยเป็นพิเศษในฤดูร้อน อย่างนี้ "
กาจึงกล่าวว่า
" ก็จริงนะ เเต่ขนของข้างามทุกฤดู ไม่ว่าฤดูใดมันก็ จะดำเช่นนี้"
***ความงามที่คงทนยั่งยืน ย่อมเป็นความงามที่เเท้จริง
(4) กาบ้ายอ
สุนัขจิ้งจอกเห็นกามีเนื้อชิ้นโตอยู่ในปาก จึงเอ่ยว่า
" เพื่อนกาเอ๋ย ตาของเพื่อนช่างงามราวกับตาเหยี่ยว ปีกก็เป็นเงางามดั่งปีกนกอินทรี ข้าอยากรู้นักว่าถ้า เพื่อนร้องเพลง
เสียงของเพื่อนจะไพเราะเพราะ พริ้งเพียงใด "
กาได้ฟังคำป้อยอก็ชอบใจ รีบอ้าปากร้องเพลงอวด สุนัขจิ้งจอกทันใด
เมื่อกาอ้าปาก ชิ้นเนื้อก็ตกลงมาที่พื้น สุนัขจิ้งจอก ก็เข้าไปคาบ เนื้อเเล้ววิ่งจากไปทันที
*** คนที่มาเฝ้ายกยอปอปั้น ย่อมหวังได้ประโยชน์จากเรา
(5) กาหลงฝูง
เพราะความไม่พอใจในตัวเอง กาตัวหนึ่งจึงไปเก็บ ขนของนกยูงที่สลัดทิ้งไว้มาปักเเซมใส่ขนของตน จนเต็มตัว ด้วยหวังจะมีขนหลากสีสันสวยงามอย่าง นกยูงบ้าง
" ข้ามีขนงามกว่าขนดำๆ ของพวกเจ้า ข้าไม่อยู่กับ พวกเจ้าดีกว่า"
การังเกียจพวกพ้องของตนเเล้วออกจากกลุ่มเข้าไป ปะปนอยู่กับฝูงนกยูง
พวกนกยูงเห็นกาหลงเข้ามาก็พากันรุมจิกตีจนขนนกยูง ที่เเซมอยู่ทั่วตัวนั้นหลุดกระจายไป เหลือเเต่ขนจริงสีดำสนิท
กาดำถูกนกยูงขับไล่ออกจากฝูง ครั้นกลับไปหาพวก ของตนก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย
*** ถ้ารังเกียจเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตนเอง ก็ย่อมจะถูกผู้อื่น รังเกียจด้วย
(6) กาอยากเป็นหงส์
กานั้นมีขนที่ดำสนิทเเละเป็นเงางาม เเต่ทว่าพวกกา กลับมิได้พึงพอใจในความเป็นตัวเอง
พวกกาเห็นว่าหงส์นั้นมีขนสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ก็พากันนึกอิจฉา เเละ ยากที่จะมีขนสีขาวเช่นนั้นบ้าง
"สงสัยว่า คงเป็นเพราะหงส์ ชอบลงอาบน้ำอยู่เสมอ เเละ ก็ยังพำนักพักอาศัยอยู่ใกล้ สระน้ำด้วย"
กาตัวหนึ่งคาดคะเน กาอีกตัวหนึ่งจึงสนับสนุนว่า
"นั่นน่ะสิ ถ้าพวกเราว่ายน้ำบ่อยๆ เเละพักอยู่ใกล้สระน้ำ เราก็คงจะขาวเหมือนหงส์นะ"
เมื่อเห็นดีเห็นงามด้วยกันเช่นนั้น พวกกาก็พากันละทิ้ง เทวสถานอันเป็นที่พำนักพักอาศัยมาตั้งเเต่เดิม เเล้วพากันอพยพไปอยู่ที่ริมสระน้ำ
พวกกาชวนกันลงเล่นน้ำทุกวันเเละไซ้ขนเป็นประจำ อย่างหงส์เเต่พวกมันก็มิได้มีขนที่ขาวขึ้นเเต่อย่างใด
กายังคงมีขนสีดำสนิทเช่นเดิน เเต่ทว่ามันไม่อาจมี ความสุขดังเดิมเพราะสถานที่ใหม่นั้นมิได้มีอาหาร การกินอุดมสมบูรณ์เหมือนที่เคยอยู่ ดังนั้นพวกกาจึง อดตายกันหมดในเวลาต่อมา
*** การหลงลืมธรรมชาติของตนนั้น เเม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนสังคม เเต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยน ธรรมชาติดั้งเดิม ของตนได้
(7) ไก่ฟ้ากับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งเดินผ่านมาเห็นไก่ฟ้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สูงข้างทาง
มันอยากจะกินไก่ฟ้าเป็นยิ่งนักจึงคิดหาอุบายเเล้วเอ่ยขึ้นว่า
"ไก่ฟ้าเอ๋ย ท่านช่างเป็นสัตว์ที่งดงามนัก ปีกของท่านมีสีสัน สดใสหลายสี ปากก็งดงามไม่เหมือนใคร อยากรู้จังว่าถ้า
ท่าน หลับตา เเล้วยังจะงามอยู่หรือไม่"
ไก่ฟ้าได้ฟังคำยกยอก็หลงเคลิบเคลิ้ม รีบหลับตาอวดทันที
สุนัขจิ้งจอกก็รีบฉวยโอกาสนั้นกระโดดงับตัวไก่ฟ้าไว้ได้
เมื่อไก่ฟ้าพลาดท่า เเต่ก็ยังมีสติ จึงเอ่ยขึ้นว่า
"จิ้งจอกเอ๋ย ก่อนตายข้าอยากฟังเสียงอันไพเราะของท่าน อีกครั้งได้ไหม"
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำป้อยอก็หลงกล รีบอ้าปากเห่าคำราม ไก่ฟ้าจึงรีบบินหนีจากไปทันที
*** คำยกยอปอปั้นทำให้คนหลงเคลิบเคลิ้มจนไม่ระวังตนได้เสมอ
(8) เเกะกับหมาป่า
หมาป่ากล่าวกับฝูงเเกะว่า
"การที่เราต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานานเช่นนี้ก็เพราะว่าสุนัข ที่เฝ้าพวกเจ้านั่นเเหละเป็นมือที่สามคอยเห่าคอยยุให้เราสองฝ่าย ต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าไม่มีสุนัขพวกนี้ เราต่างก็คงอยู่อย่างสงบสุข พวกข้าไม่ต้องไล่กัดเจ้า เเละพวกเจ้าก็ไม่ ต้องคอยหนีข้า เรามาเป็นมิตรกันดีกว่านะ"
หมาป่าเจรจาหว่านล้อมจนพวกฝูงเเกะเห็นดีด้วย
โดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน ฝูงเเกะก็ตัดสินใจขับไล่พวกสุนัข เฝ้าฝูงเเกะไปเสียหมด
หลังจากนั้นพวกหมาป่าก็เข้าไล่จับเเกะกินเป็นอาหารได้อย่าง สะดวกสบาย
*** ถ้าไว้วางใจคนเคยเป็นศัตรูมากว่าคนเคยช่วยเหลือกัน ก็ย่อมได้รับแต่โทษภัย
(9) คนเลี้ยงเเพะ
ขณะที่พาฝูงเเพะของตนไปหลบพายุในถ้ำ คนเลี้ยงเเพะก็พบ ฝูงเเพะป่าหลบอยู่ในถ้ำด้วยเช่นกัน
"ฝูงเเพะป่านี้เป็นฝูงใหญ่ มีเเพะมากกว่าฝูงเเพะของเราหลาย เท่านัก เราน่าจะเอาเเพะป่าฝูงใหญ่ไปเลี้ยงเเทนฝูงเดิมดี
กว่า"
เมื่อคนเลี้ยงเเพะคิดได้ดังนั้นเเล้วก็นำเอาใบไม้ที่เตรียมมาไว้ให้ ฝูงเเพะเดิม ของตนไปให้ฝูงเเพะป่ากินจนหมด
ครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงเเพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไป ฝูงเเพะเดิมของตนไปให้ฝูงเเพะป่ากินจนหมด
ครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงเเพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไป ฝูงเเพะเดิมก็ตายกันหมดเพราะอดอาหาร
คนเลี้ยงเเพะจึงได้เเต่นั่งร้องไห้ให้เพื่อนบ้านหัวเราะเยาะต่อไป
*** เห็นเเก่มิตรใหม่จนทอดทิ้งมิตรเก่า ก็จะไม่ได้ใครเลย
(10) คนกับเงาของลา
เจ้าของลาเดินจูงลาออกจากนครเอเธนส์ ชายหนุ่มคนหนึ่ง จึง เข้าไปหาพลางถามว่า
"ข้าขอเช่าลาของท่านได้หรือไม่"
เจ้าของลายอมให้ชายหนุ่มเช่าลาขี่จากเอเธนส์มุ่งสู่อีกเมือง หนึ่งอากาศกลางฤดูร้อนนั้นยิ่งร้อนจัดในยามเที่ยง
ชายหนุ่มจึงลงจากหลังลามานั่งพักในร่มเงาของลา เเต่ทว่า เจ้าของลาไม่ยอมเพราะอ้างว่า เขาขอเช่าเเต่ลา มิได้เช่าเงา
ของลาด้วย
ชายหนุ่มผู้ชายก็ไม่ยอม สองคนเเย่งกันจะนั่งในร่มเงาของลา จนถึงกับทะเลาะวิวาทเเละต่อยตีกันเป็นการใหญ่
ลาจึงฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไปเป็นอิสระในที่สุด
*** เมื่อไม่ใช้สติเเละความรอมชอมต่อกันย่อมเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
(11) คนขี้เหนียวกับทองคำ
ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้เหนียว เขามักจะเอาสมบัติฝังดิน ไว้รอบๆ บ้านไม่ยอมนำมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์
ต่อมาเขากลัวว่าจะไม่ปลอดภัยถ้าฝังเงินทอง ไว้หลาย เเห่ง เขาจึงขายสมบัติทั้งหมดเเล้วซื้อทองคำเเท่งหนึ่ง มาฝังไว้ ที่หลังบ้าน เเล้วหมั่นไปดูทุกวัน
คนใช้ผู้หนึ่งสงสัยจึงเเอบตามไปดูที่หลังบ้าน เเล้วก็ขุด เอาทองเเท่งไปเสีย
ชายขี้เหนียวมาพบหลุมที่ว่างเปล่าในวันต่อมาก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปบอกเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เพื่อนบ้านจึงเเนะนำประชดประชันว่า
"ท่านก็เอาก้อนอิฐใส่ในหลุมเเล้วคิดว่าเป็นทองคำสิ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่เอาเอามาใช้อยู่เเล้ว"
*** ของมีค่า ถ้าไม่นำมาทำให้เกิดประโยชน์ก็ย่อมเป็นของไร้ค่า
(12) คนตัดไม้กับเทพารักษ์
คนตัดไม้นั่งร้องไห้อยู่ริมลำธารเพราะทำขวานตกลงไป
เทพารักษ์สงสารจึงลงไปงมเอาขวานทองคำมาให้
คนตัดไม้เป็นคนซื่อจึงตอบว่าขวานทองนั้นไม่ใช่ของตน ครั้นเทพารักษ์งมเอาขวานเงินมาให้ เขาก็ไม่รับ
เทพารักษ์จึงงมเอาขวานเหล็กธรรมดาๆ มาให้ คนตัดไม้จึงดีใจ บอกว่าเป็นขวานของตน
เทพารักษ์ชื่นชมในความซื่อตรงของคนตัดไม้ จึงมอบ ขวานทองเเละขวานเงินให้เป็นของขวัญ
คนตัดไม้ดีใจ กลับบ้านไปเล่าให้เพื่อนฟัง
เพื่อนคนนั้นเป็นคนโลภ จึงรีบเข้าป่าไปตัดไม้เเล้วเเกล้ง ทำขวานตกลงไปในลำธารเพื่อให้เทพารักษ์มาช่วยบ้าง
เมื่อเทพารักษ์ปรากฏกายมาช่วยงมเอาขวานทองคำมาให้ ชายโลภก็รีบตอบรับว่านั่นคือขวานของเขา
เทพารักษ์กริ้วที่ชายผู้นั้นพูดเท็จเพราะโลภมากจึงไม่ยอมให้ ขวานทองคำเเก่เขา ปล่อยให้เขานั่งร้องไห้เลียดายขวานเหล็ก ตามลำพัง
*** ความซื่อย่อมนำความเจริญให้ได้ดีกว่าความโลภ
(13) คนตัดไม้กับสุนัขจิ้งจอก
คนตัดไม้พาสุนัขจิ้งจอกเข้าไปซ่อนที่ข้างกระท่อม เมื่อถูกขอความช่วยเหลือ
พวกล่าสัตว์จูงหมาล่าเนื้อมาถึงก็ถามคนตัดไม้ว่าเห็น สุนัขจิ้งจอกหรือไม่
"ไม่เห็นเลยเพื่อนเอ๋ย"
คนตัดไม้ปฏิเสธเเต่ก็ชี้นิ้วไปทางข้างกระท่อม
พวกล่าสัตว์ไม่เข้าใจสัญญาณบอกใบ้นั้นจึงพากันกลับไป
สุนัขจิ้งจอกรออยู่อีกสักครู่ก็ออกมาจากที่ซ่อนเเล้ววิ่ง ผ่านหน้าคนตัดไม้ไป คนตัดไม้จึงร้องขึ้นว่า
"ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าไม่ขอบคุณข้าเลยหรือ"
"ลิ้นของเจ้าไม่ตรงเหมือนนิ้วของเจ้าเลยนะจะให ้ขอบใจได้อย่างไร"
สุนัขจิ้งจอกกล่าวเเล้วก็วิ่งเข้าป่าไป
***คนไม่ซื่อ ย่อมไม่มีผู้ใดนับถือ
(14) คนหาปลา
ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งเป่าขลุ่ยอย่างไพเราะอยู่ที่ริมเเม่น้ำเพื่อหวัง จะเรียกปลาขึ้นมาจากน้ำ เเล้วตนจะได้จับเอาไปเป็นอาหาร
เพลงเเล้วเพลงเล่าผ่านไป ชายหนุ่มก็ต้องโมโหที่ไม่เห็นปลา สักตัวผุดจากน้ำขึ้นมาตามเสียงขลุ่ยอันไพเราะของเขา
ดังนั้นเขาจึงกลับบ้านไปเอาเหมาเหวี่ยงลงน้ำไม่ช้าก็ได้ปลาเล็ก ปลาน้อยติดร่างเเหหลายสิบตัว
ชายหนุ่มคนหาปลาขัดเคืองใจนักจึงบ่นตำหนิปลาว่า
"ทีอย่างนี้กระโดดโลดเต้นกันใหญ่ ที่เป่าขลุ่ยให้ฟังกลับทำ เงียบเฉย"
*** คิดทำการใด ควรหาวิธีการหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม กิจการนั้น จึงจะสำเร็จผลได้
(15) คนหาปลากับพราน
วันหนึ่งคนหาปลาเดินสวนกับนายพรานเเละเห็นว่านายพราน มีเนื้อสัตว์มากมายจึงถามว่า
"ท่านพรานป่า ข้าขอเอาปลาเเลกกับเนื้อสัตว์บ้างได้หรือไม่"
นายพรานเห็นคนหาปลามีปลาหลายตัวก็นึกอยากจะลองกิน เนื้อปลา
วันต่อๆ มาคนหาปลากับพรานก็นัดพบเพื่อเเลกเปลี่ยนอาหารกัน ทุกวัน
จนกระทั่งวันหนึ่งคนหาปลาก็เอ่ยขึ้นว่า
"ท่านยังอยากจะเเลกเนื้อกับปลาอยู่หรือไม่"
นายพรานก็ตอบว่าตนเริ่มเบื่อปลาเเละอยากกินเนื้อดังเดิมเเล้ว
ทั้งสองจึงตกลงเลิกเเลกเปลี่ยนอาหารกันอีกต่อไป
*** คนเรามักอยากลิ้มลองของใหม่ เเต่ไม่นานก็ต้องเห็นค่าของ ของเก่า
(16) คางคกกับสุนัขจิ้งจอก
คางคกคุยอวดสุนัขจิ้งจอกว่า
"เจ้ารู้ไหมว่า ข้าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ ข้าเป็นหมอเทวดา มียาวิเศษมากมายหลายขนาน เจ้าเชื่อข้าเถอะนะ"
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังก็หัวเราะเยาะเเล้วว่า
"ข้าก็อยากจะเชื่อเจ้าหรอกนะ ถ้าเจ้ารักษาผิวหนัง ตะปุ่มตะป่ำ ของเจ้าให้หายดีได้เสียก่อน "
*** ผู้อื่นย่อมเชื่อถือผลงาน มากกว่าคำโอ้อวด
(17) ค้างคาวเลือกพวก
ค้างคาวนั้นถือว่าตนก็มีปีกเหมือนนก เเละก็มีหูเหมือนสัตว์ อื่นทั่วๆ ไป
ดังนั้นเมื่อนกยกพวกไปต่อสู่กับสัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ขอตัวไม่ เข้าข้างฝ่ายใดโดยทำตัวเป็นกลาง
เเต่เมื่อพวกของนกมีท่าทีว่าจะชนะ ค้างคาวก็ประกาศตัว ไปเข้ากับฝ่ายนก
ต่อมาพวกนกจะพลาดท่าเสียทีเเก่สัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ผละ จากนกไปเข้าพวกกับสัตว์อื่นๆ
ต่อมานกต่อสู้จนใกล้จะได้ชัย ค้างคาวก็กลับมาอยู่ข้างฝ่ายพวก นกอีก
เมื่อนกกับสัตว์อื่นๆ ทำสัญญาสงบศึกเเละเป็นมิตรต่อกัน ทั้งสองต่างก็ขับไล่ค้างคาว ไม่ยอมให้เข้าพวกด้วย
ค้างคาวอับอายจึงไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ จะออกจากถ้ำไปหา อาหาร ในตอนกลางคืนเท่านั้น
*** ผู้ที่ขาดความจริงใจ ไม่มีใครอยากคบหาด้วย
(18) ชายโง่กับต้นไผ่
เมื่อบิดาตายเเล้วชายผู้โง่เขลาเบาปัญญาก็นั่งมองต้นไผ่ที่บิดาปลูกไว้รอบๆ สวน พลางคิดว่า
"ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีดอกไม่มีผลให้เก็บไปขาย"
คิดดังนั้นชายโง่ก็ให้คนงานตัดต้นไผ่ทิ้งจนหมด
หลังจากนั้นสัตว์ต่างๆ เเละคนพเนจรก็พากันเข้าออกในสวนอย่างสะดวก สบาย
สวนผลไม้จึงได้รับความเสียหาย ทั้งถุกขโมยผล ทั้งถูกเหยียบย่ำทำลาย ในที่สุดผลไม้ก็ตายหมดทั้งสวนเพราะไม่มี
ต้นไผ่ที่เป็นเสมือนรั้วล้อมรอบ ป้องกันภัยอย่างเเต่ก่อน
*** ของทุกสิ่งย่อมมีประโยชน์ในทางที่เเตกต่างกัน
(19) ชายพเนจรอกตัญญู
ชายสองคนเดินทางพเนจรไปเรื่อยๆ เมื่อพบไม้พุ่มหนึ่ง จึงชวนกันหยุดพักใต้ร่มเงาของพุ่มไม้
ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันที่เเดดร้อนจัด ชายคนหนึ่งเอนตัวลง นอน ใต้เงาไม้พลางเเหงนมองดูพุ่มไม้เเล้วกล่าวว่า
"ไม้พุ่มนี้ไม่มีผลให้เรากินเลยนะ"
อีกคนก็เอ่ยบ้างว่า
"จริงด้วย ไม้พุ่มนี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ"
*** คนโง่เเละคนชั่วมักเป็นคนอกตัญญู
(20) ชาวนากับเทพารักษ์
ชาวนาผู้หนึ่งนั่งร้องไห้บนบานขอให้เทพารักษ์มาช่วย
"เกวียนติดอยู่ในหล่มลึกอย่างนี้ ลูกจะทำอย่างไรได้ ท่านเทพยดา ผู้รักษาป่าขอจงมาช่วยลูกด้วยเถิด"
เทพารักษ์ปรากฏกายตรงหน้าชาวนาเเล้วกล่าวว่า
"ถ้าอยากยกเกวียนให้พ้นหล่ม ก็จะเอาบ่าของเจ้าสอดไปใต้ล้อ เเล้วออกเเรงยกเกวียนขึ้นเท่านั้นเอง"
*** จงพยายามช่วยตัวเองก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
(21) ชาวนากับงูเห่า
ชาวนาเดินออกจากบ้านในเช้าฤดูหนาววันหนึ่ง
ระหว่างทางพบงูเห่าตัวหนึ่งนอนตัวเเข็งใกล้ตายอยู่บนคันนา ด้วยความเหน็บหนาว
ชาวนาเวทนานักจึงก้มลงประคองมันขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมเเขน เพื่อให้มันคลายหนาว
เมื่องูเห่าได้รับความอบอุ่นก็เริ่มมีกำลังขึ้น มันจึงกัดชาวนา ก่อนที่จะเลื้อยหนีไป
ชาวนาทนพิษบาดเเผลไม่ไหวจึงสิ้นใจตายในไม่ช้า
*** ข้องแวะกับคนชั่ว อาจนำภัยมาให้ (นิทานเรื่องนี้ตรงกับมงคลชีวิตข้อที่ 1 คือไม่คบคนพาล)
(22) ชาวนากับสิงโต
ชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงเเกะกับเเพะไว้หลายสิบตัว วันหนึ่ง มีสิงโตตัวใหญ่พลัดหลงเข้าไปในอาณาบริเวณบ้าน ของชาวนา เขาจึงรีบปิดประตูรั้วไว้เพื่อมิให้ สิงโต ออกไป จากบริเวณบ้านได้
เมื่อสิงโตถูกขังเช่นนั้นก็มิได้เดือดเนื้อร้อนใจนัก เมื่อ มันหิว มันก็จับเเพะกับเเกะกินเป็นอาหารอย่างอิ่มหนำ สำราญใจ
ชาวนาเห็นเเพะกับเเกะของตนถูกจับกินไปหลายตัวจึง รีบ เปิดประตูรั้วที่ล้อมรอบบ้านไว้ เพื่อปล่อยให้สิงโต กลับออกไปเป็นอิสระได้
"โธ่ไม่น่าเลยเรา" ชาวนานั่งคร่ำครวญเสียดาย เเพะกับ เเกะ ของตน เมียของชาวนาจึงได้เเต่สมน้ำหน้า ที่สามีอยากเเกล้งขังสิงโตไว้ในบ้านดีนัก
*** อย่าเลี้ยงสัตว์ดุร้าย เเละ โจร ไว้ในบ้านเป็นอันขาด
(23) เด็กเลี้ยงเเกะชอบปด
วันหนึ่งเด็กเลี้ยงเเกะคิดหาเรื่องสนุกๆ เล่น จึงเเกล้งร้องตะโกน ขึ้นมาว่า
"ช่วยด้วย! หมาป่ามากินลูกเเกะเเล้ว ช่วยด้วยจ้า ! "
พวกชาวบ้านจึงพากันวิ่งมาช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่างๆ เเต่เมื่อมาถึงก็ไม่พบหมาป่าสักตัว
"มันวิ่งไปทางโน้นเเล้วล่ะ"
เด็กเลี้ยงเเกะโป้ปดเเล้วก็เเอบหัวเราะชอบใจภายหลัง
ต่อจากนั้นเด็กเลี้ยงเเกะก็เเกล้งหลอกให้ชาวบ้านวิ่งหน้าตื่น เช่นเดิมได้อีก ๒- ๓ ครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งมีหมาป่ามาไล่กินเเกะจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงเเกะ ตะโกนขอความช่วยเหลือจนคอเเหบ คอเเห้ง พวกชาวบ้านก็ไม่มาเพราะคิดว่าเด็กหลอก
*** คนที่มักโป้ปดมดเท็จ เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครเชื่อ
(24) เด็กโลภ
เด็กชายคนหนึ่งอยากกินลูกเกาลัดมาก จึงล้วงมือลงไปในโถ เเล้วกอบลูกเกาลัดจนเต็มกำมือเเละไม่สามารถเอามือออกจาก ปากโถเเคบๆ ได้
เด็กชายจึงร้องไห้อยู่อย่างนั้นเพราะไม่ยอมปล่อยลูกเกาลัด ออกจากมือ
เมื่อผู้ใหญ่คนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเข้าจึงว่า
"ทำไมไม่ปล่อยลูกเกาลัดในมือเสียก่อน ถ้าล้วงหยิบเกาลัด ทีละลูกเดียว ก็สามารถหยิบกินได้จนอิ่มเหมือนกัน มือก็ไม่ติด ปากโถด้วย"
***ได้ทีละน้อย ก็สามารถเก็บให้เป็นมากได้
(25) เด็กซุกซนกับหมาป่า
เมื่อปีนขึ้นไปนั่งเล่นบนหลังคาบ้านได้ เด็กน้อยผู้เเสน ซุกซนก็ดีอกดีใจเป็นยิ่งนัก เที่ยวเอาก้อนหินขว้างเเมว ขว้างไก่เล่นเป็นที่สำราญใจ
ครั้นเห็นหมาป่าเดินผ่านมา เด็กซุกซนก็ร้องตะโกน ท้าทายเป็นการใหญ่
"เจ้าหมาป่าหน้าโง่ ใครๆ ก็กลัวเจ้านักหนาเเต่ข้าไม่ กลัว เเน่จริงก็มาจับข้าสิ ฮ่า ฮ่า ข้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ เเค่นี้เจ้ากลัวรึไง เจ้าหน้าโง่เอ๊ย ข้าน่ะเก่งกว่าเจ้า หลายเท่านัก ถึงได้ล้อเจ้าได้"
หมาป่าส่ายหน้าอย่างระอาพลางว่า
"เจ้าล้อข้าได้เพราะหลังคาสูงนั่นต่างหาก ไม่ใช่เพราะว่า เจ้าเก่งหรอก"
*** เเม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ ก็ควรประเมินดู ความสามารถ
(26) ต้นโอ๊กผู้ยิ่งใหญ่
ในเย็นวันหนึ่ง มีพายุใหญ่พัดกระหน่ำจนต้นอ้อนั้นพากันระเนน เอนลู่ ไปตามกระเเสลม
ต้นโอ๊กใหญ่เห็นเช่นนั้นจึงถามต้นอ้อว่า
"ไฉนเจ้าจึงไม่ยืนนิ่งต้านเเรงลมเล่า"
ต้นอ้อตอบอย่างถ่อมตนว่า
"ข้านั้นเป็นต้นไม้เล็กๆ ไม่มีเเรงกำลังมากเช่นท่าน ลมพัดไป ทางไหนก็ต้องเอนไปทางนั้น"
ต้นโอ๊กได้ฟังก็หัวเราะดังลั่นอย่างภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ ของตน
เเต่ทว่าคืนนั้น พายุยังคงโหมกระหน่ำรุนเเรงจนต้นโอ๊กหักโค่น ลง เหลือเเต่ต้นอ้อที่ยังมีชีวิตอยู่ เเละเมื่อพายุสงบลง ต้นอ้อ ก็หยัดยืนตรงได้อีกครั้ง
*** รู้จักโอนอ่อนย่อมหยัดยืนอยู่ได้นานกว่าเเข็งกระด้างตลอดไป
(27) ต้นสนอวดดี
ต้นสนมักจะคิดว่าตนนั้นมีความสวยงามกว่าต้นฉำฉา อีกทั้งยังมีประโยชน์มากกว่าด้วย
"คนต้องการต้นสนอย่างเราเพื่อไปสร้างเป็นที่อยู่อาศัย เเละ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ"
ต้นสนคุยข่มต้นฉำฉาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน
"เเต่เจ้าน่ะไม่เห็นจะเป็นประโยชน์ต่อใครเลย"
"ข้ารู้ตัวดี ว่าข้านั้นต่ำต้อยด้อยค่ากว่าท่าน เเต่ลองดูข้างหน้านั่นสิ มีคนเอาเลื่อยกับขวานมาเเล้ว ทีนี้ ท่านยังอยากเป็นต้นสนหรือต้นฉำฉาล่ะ"
*** เที่ยวโอ้อวด ความดี ความเด่น ย่อมเป็นโทษเป็นภัยเเก่ตนเอง
(28) ตั๊กเเตนผู้หิวโหย
ตั๊กเเตนตัวหนึ่งไม่ได้กินอาหารมาหลายวันเเล้ว
มันเดินโซเซเพราะไร้เเรงกระโดดมาจนถึงลานดิน ใต้ต้นโอ๊กใหญ่ท่ามกลางลมฤดูหนาว
พวกมดกำลังขนเมล็ดข้าวโพดออกจากรังมาตากให้เเห้ง
ตั๊กเเตนจึงเดินไปขอกินเมล็ดข้าวโพดสัก ๒-๓ เม็ดเพื่อประทังชีวิต เเต่มดกลับถามว่า ทำไมตอน ฤดูร้อน ไม่หาเสบียงอาหารกักตุนไว้
ตั๊กเเตนก็ตอบว่าตนร้องเพลงเที่ยวเล่นไปตลอดฤดูร้อน
"ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ควรจะเต้นรำไปตลอดฤดูหนาว " มดตอบ เเล้วก็ขนเมล็ดข้าวโพดกลับเข้ารังไปให้พวก ของตนกิน
*** ควรขยันทำมาหากิน เพื่อให้มีพอเพียงในยามยาก
(29) เทียนเเข่งเเสง
เมื่อเทียนไขถูกจุดใช้จนใกล้จะหมดเเท่งนั้น เเสงของเทียน มักจะยิ่งสว่างเรืองรองขึ้นกว่าเดินหลายเท่านัก
ด้วยเหตุนี้เทียนเเท่งหนึ่งจึงคุยอวดกับเจ้าของว่า
"เเสงเทียนของข้านั้นสว่างกว่าเเสงดาว เเสงจันทร์ เเละเเม้กระทั่งเเสงอาทิตย์ด้วยนะ"
ทันใดนั้นเองกระเเสลมก็พัดผ่านมาวูบหนึ่ง เเล้วเเสงเทียนดับ วูบลง
เจ้าของจึงจุดเทียนขึ้นใหม่เเล้วกล่าวว่า
"เเสงอาทิตย์ เเสงจันทร์ เเละเเสงดาวนั้นยากที่จะดับ เเละไม่ ต้องมีใครจุดให้ เเต่เทียนอย่างเจ้านั้นต้องมีคนจุดจึงจะมีเเสง เเละเจ้าก็มีวันดับมีวันหมดเเสง"
*** ทำหน้าที่ของตนอย่างเจียมตน จึงดูมีคุณค่าน่าไปเปรียบเทียบ เเข่งขันกับผู้อื่น
(30) นกกระเรียนกับหมาป่า
นกกระเรียนเห็นหมาป่านอนดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดที่กลางป่า จึงเข้าเข้าไปถามไถ่อย่างเวทนาว่า
"เจ้าเป็นอะไรหรือ"
"ข้ากลืนชิ้นเนื้อเข้าไป กระดูกติดคอข้า ทำอย่างไรก็ไม่ออก"
หมาป่าบอกเเล้วก็ขอร้องให้นกกระเรียนช่วยตนด้วย เเล้วตน จะให้รางวัลอย่างงามเป็นการตอบเเทน
นกกระเรียนจึงยื่นคออันยาวเรียวของมันเข้าไปในปากหมาป่า เเละสามารถล้วงเอากระดูกออกมาได้สำเร็จ
เมื่อนกกระเรียนทวงถามถึงรางวัล หมาป่าก็คำรามว่า
"ข้าไม่งับคอเจ้าขาดตายก็ดีเเล้ว ยังจะมาเอาอะไรจากข้าอีก เล่า"
*** คนเลวมักไม่เห็นความดีของผู้อื่น
Search e4thai.com
Loading
Friday, January 8, 2010
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment