ที่มา: http://www.fungdham.com/fable/fable.html
(1) กบกับหนู
หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้าม ลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย
กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า
" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "
เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึง ความใจดำของกบ
เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรง
ก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน
*** คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสียหาย
(2) กวางป่ากับพวงองุ่น
กวางป่าวิ่งไปในเพิงองุ่นเพื่อซ่อนตัวจากการตามล่า ของนายพราน
" ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น "
กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาต
เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้นเเต่ไม่พบกวางป่า ก็จึง วิ่งไปอีกทางหนึ่ง
กวางป่าเห็นว่าปลอดภัยเเล้วจึงกัดพวงองุ่นอย่าง เอร็ดอร่อย
" เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย "
ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงว่า
" ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินเจ้าอยู่ดีนั่นเเหละ "
ขณะที่กัดกินพวงองุ่นเอง พรานอีกคนหนึ่งผ่นมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ใต้เพิงองุ่นจึงเล็งธนูยิงใส่กวางป่าทันที
*** คนไม่รู้บุญคุณคนมักประสบความหายนะ
(3) กากับนกนางเเอ่น
นกนางเเอ่นถามกาว่า
" เจ้าว่าขนของข้ากับขนของเจ้า ใครจะงามกว่ากัน "
กามองขนของตนเเล้วตอบว่า
" ข้าว่าขนของข้าก็สวยดีนะ "
นกนางเเอ่นขยับปีกพลางว่า
" เเต่เจ้าดูสิ ขอนของข้าดูสวยเป็นพิเศษในฤดูร้อน อย่างนี้ "
กาจึงกล่าวว่า
" ก็จริงนะ เเต่ขนของข้างามทุกฤดู ไม่ว่าฤดูใดมันก็ จะดำเช่นนี้"
***ความงามที่คงทนยั่งยืน ย่อมเป็นความงามที่เเท้จริง
(4) กาบ้ายอ
สุนัขจิ้งจอกเห็นกามีเนื้อชิ้นโตอยู่ในปาก จึงเอ่ยว่า
" เพื่อนกาเอ๋ย ตาของเพื่อนช่างงามราวกับตาเหยี่ยว ปีกก็เป็นเงางามดั่งปีกนกอินทรี ข้าอยากรู้นักว่าถ้า เพื่อนร้องเพลง เสียงของเพื่อนจะไพเราะเพราะ พริ้งเพียงใด "
กาได้ฟังคำป้อยอก็ชอบใจ รีบอ้าปากร้องเพลงอวด สุนัขจิ้งจอกทันใด
เมื่อกาอ้าปาก ชิ้นเนื้อก็ตกลงมาที่พื้น สุนัขจิ้งจอก ก็เข้าไปคาบ เนื้อเเล้ววิ่งจากไปทันที
*** คนที่มาเฝ้ายกยอปอปั้น ย่อมหวังได้ประโยชน์จากเรา
(5) กาหลงฝูง
เพราะความไม่พอใจในตัวเอง กาตัวหนึ่งจึงไปเก็บ ขนของนกยูงที่สลัดทิ้งไว้มาปักเเซมใส่ขนของตน จนเต็มตัว ด้วยหวังจะมีขนหลากสีสันสวยงามอย่าง นกยูงบ้าง
" ข้ามีขนงามกว่าขนดำๆ ของพวกเจ้า ข้าไม่อยู่กับ พวกเจ้าดีกว่า"
การังเกียจพวกพ้องของตนเเล้วออกจากกลุ่มเข้าไป ปะปนอยู่กับฝูงนกยูง
พวกนกยูงเห็นกาหลงเข้ามาก็พากันรุมจิกตีจนขนนกยูง ที่เเซมอยู่ทั่วตัวนั้นหลุดกระจายไป เหลือเเต่ขนจริงสีดำสนิท
กาดำถูกนกยูงขับไล่ออกจากฝูง ครั้นกลับไปหาพวก ของตนก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย
*** ถ้ารังเกียจเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตนเอง ก็ย่อมจะถูกผู้อื่น รังเกียจด้วย
(6) กาอยากเป็นหงส์
กานั้นมีขนที่ดำสนิทเเละเป็นเงางาม เเต่ทว่าพวกกา กลับมิได้พึงพอใจในความเป็นตัวเอง
พวกกาเห็นว่าหงส์นั้นมีขนสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ก็พากันนึกอิจฉา เเละ ยากที่จะมีขนสีขาวเช่นนั้นบ้าง
"สงสัยว่า คงเป็นเพราะหงส์ ชอบลงอาบน้ำอยู่เสมอ เเละ ก็ยังพำนักพักอาศัยอยู่ใกล้ สระน้ำด้วย"
กาตัวหนึ่งคาดคะเน กาอีกตัวหนึ่งจึงสนับสนุนว่า
"นั่นน่ะสิ ถ้าพวกเราว่ายน้ำบ่อยๆ เเละพักอยู่ใกล้สระน้ำ เราก็คงจะขาวเหมือนหงส์นะ"
เมื่อเห็นดีเห็นงามด้วยกันเช่นนั้น พวกกาก็พากันละทิ้ง เทวสถานอันเป็นที่พำนักพักอาศัยมาตั้งเเต่เดิม เเล้วพากันอพยพไปอยู่ที่ริมสระน้ำ
พวกกาชวนกันลงเล่นน้ำทุกวันเเละไซ้ขนเป็นประจำ อย่างหงส์เเต่พวกมันก็มิได้มีขนที่ขาวขึ้นเเต่อย่างใด
กายังคงมีขนสีดำสนิทเช่นเดิน เเต่ทว่ามันไม่อาจมี ความสุขดังเดิมเพราะสถานที่ใหม่นั้นมิได้มีอาหาร การกินอุดมบรูณ์เหมือนที่เคยอยู่ ดังนั้นพวกกาจึง อดตายกันหมดในเวลาต่อมา
*** การหลงลืมธรรมชาติของตนนั้น เเม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนสังคม เเต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยน ธรรมชาติดั้งเดิม ของตนได้
(7) ไก่ฟ้ากับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งเดินผ่านมาเห็นไก่ฟ้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สูงข้างทาง
มันอยากจะกินไก่ฟ้าเป็นยิ่งนักจึงคิดหาอุบายเเล้วเอ่ยขึ้นว่า
"ไก่ฟ้าเอ๋ย ท่านช่างเป็นสัตว์ที่งดงามนัก ปีกของท่านมีสีสัน สดใสหลายสี ปากก็งดงามไม่เหมือนใคร อยากรู้จังว่าถ้าท่าน หลับตา เเล้วยังจะงามอยู่หรือไม่"
ไก่ฟ้าได้ฟังคำยกยอก็หลงเคลิบเคลิ้ม รีบหลับตาอวดทันที
สุนัขจิ้งจอกก็รีบฉวยโอกาสนั้นกระโดดงับตัวไก่ฟ้าไว้ได้
เมื่อไก่ฟ้าพลาดท่า เเต่ก็ยังมีสติ จึงเอ่ยขึ้นว่า
"จิ้งจอกเอ๋ย ก่อนตายข้าอยากฟังเสียงอันไพเราะของท่าน อีกครั้งได้ไหม"
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำป้อยอก็หลงกล รีบอ้าปากเห่าคำราม ไก่ฟ้าจึงรีบบินหนีจากไปทันที
*** คำยกยอปอปั้นทำให้คนหลงเคลิบเคลิ้มจนไม่ระวังตนได้เสมอ
(8) เเกะกับหมาป่า
หมาป่ากล่าวกับฝูงเเกะว่า
"การที่เราต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานานเช่นนี้ก็เพราะว่าสุนัข ที่เฝ้าพวกเจ้านั่นเเหละเป็นมือที่สามคอยเห่าคอยยุให้เราสองฝ่าย ต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าไม่มีสุนัขพวกนี้ เราต่างก็คงอยู่อย่างสงบสุข พวกข้าไม่
ต้องไล่กัดเจ้า เเละพวกเจ้าก็ไม่ต้องคอยหนีข้า เรามาเป็นมิตรกันดีกว่านะ"
หมาป่าเจรจาหว่านล้อมจนพวกฝูงเเกะเห็นดีด้วย
โดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน ฝูงเเกะก็ตัดสินใจขับไล่พวกสุนัข เฝ้าฝูงเเกะไปเสียหมด
หลังจากนั้นพวกหมาป่าก็เข้าไล่จับเเกะกินเป็นอาหารได้อย่าง สะดวกสบาย
*** ถ้าไว้วางใจคนเคยเป็นศัตรูมากว่าคนเคยช่วยเหลือกัน ก็ย่อมได้รับแต่โทษภัย
(9) คนเลี้ยงเเพะ
ขณะที่พาฝูงเเพะของตนไปหลบพายุในถ้ำ คนเลี้ยงเเพะก็พบ ฝูงเเพะป่าหลบอยู่ในถ้ำด้วยเช่นกัน
"ฝูงเเพะป่านี้เป็นฝูงใหญ่ มีเเพะมากกว่าฝูงเเพะของเราหลาย เท่านัก เราน่าจะเอาเเพะป่าฝูงใหญ่ไปเลี้ยงเเทนฝูงเดิมดีกว่า"
เมื่อคนเลี้ยงเเพะคิดได้ดังนั้นเเล้วก็นำเอาใบไม้ที่เตรียมมาไว้ให้ ฝูงเเพะเดิม ของตนไปให้ฝูงเเพะป่ากินจนหมด
ครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงเเพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไป ฝูงเเพะเดิมของตนไปให้ฝูงเเพะป่ากินจนหมด
ครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงเเพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไป ฝูงเเพะเดิมก็ตายกันหมดเพราะอดอาหาร
คนเลี้ยงเเพะจึงได้เเต่นั่งร้องไห้ให้เพื่อนบ้านหัวเราะเยาะต่อไป
*** เห็นเเก่มิตรใหม่จนทอดทิ้งมิตรเก่า ก็จะไม่ได้ใครเลย
(10) คนกับเงาของลา
เจ้าของลาเดินจูงลาออกจากนครเอเธนส์ ชายหนุ่มคนหนึ่ง จึง เข้าไปหาพลางถามว่า
"ข้าขอเช่าลาของท่านได้หรือไม่"
เจ้าของลายอมให้ชายหนุ่มเช่าลาขี่จากเอเธนส์มุ่งสู่อีกเมือง หนึ่งอากาศกลางฤดูร้อนนั้นยิ่งร้อนจัดในยามเที่ยง
ชายหนุ่มจึงลงจากหลังลามานั่งพักในร่มเงาของลา เเต่ทว่า เจ้าของลาไม่ยอมเพราะอ้างว่า เขาขอเช่าเเต่ลา มิได้เช่าเงา ของลาด้วย
ชายหนุ่มผู้ชายก็ไม่ยอม สองคนเเย่งกันจะนั่งในร่มเงาของลา จนถึงกับทะเลาะวิวาทเเละต่อยตีกันเป็นการใหญ่
ลาจึงฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไปเป็นอิสระในที่สุด
*** เมื่อไม่ใช้สติเเละความรอมชอมต่อกันย่อมเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
(11) คนขี้เหนียวกับทองคำ
ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้เหนียว เขามักจะเอาสมบัติฝังดิน ไว้รอบๆ บ้านไม่ยอมนำมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์
ต่อมาเขากลัวว่าจะไม่ปลอดภัยถ้าฝังเงินทอง ไว้หลาย เเห่ง เขาจึงขายสมบัติทั้งหมดเเล้วซื้อทองคำเเท่งหนึ่ง มาฝังไว้ที่หลังบ้าน เเล้วหมั่นไปดูทุกวัน
คนใช้ผู้หนึ่งสงสัยจึงเเอบตามไปดูที่หลังบ้าน เเล้วก็ขุด เอาทองเเท่งไปเสีย
ชายขี้เหนียวมาพบหลุมที่ว่างเปล่าในวันต่อมาก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปบอกเพื่อนบ้านคนหนึ่ง
เพื่อนบ้านจึงเเนะนำประชดประชันว่า
"ท่านก็เอาก้อนอิฐใส่ในหลุมเเล้วคิดว่าเป็นทองคำสิ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่เอาเอามาใช้อยู่เเล้ว"
*** ของมีค่า ถ้าไม่นำมาทำให้เกิดประโยชน์ก็ย่อมเป็นของไร้ค่า
(12) คนตัดไม้กับเทพารักษ์
คนตัดไม้นั่งร้องไห้อยู่ริมลำธารเพราะทำขวานตกลงไป
เทพารักษ์สงสารจึงลงไปงมเอาขวานทองคำมาให้
คนตัดไม้เป็นคนซื่อจึงตอบว่าขวานทองนั้นไม่ใช่ของตน ครั้นเทพารักษ์งมเอาขวานเงินมาให้ เขาก็ไม่รับ
เทพารักษ์จึงงมเอาขวานเหล็กธรรมดาๆ มาให้ คนตัดไม้จึงดีใจ บอกว่าเป็นขวานของตน
เทพารักษ์ชื่นชมในความซื่อตรงของคนตัดไม้ จึงมอบ ขวานทองเเละขวานเงินให้เป็นของขวัญ
คนตัดไม้ดีใจ กลับบ้านไปเล่าให้เพื่อนฟัง
เพื่อนคนนั้นเป็นคนโลภ จึงรีบเข้าป่าไปตัดไม้เเล้วเเกล้ง ทำขวานตกลงไปในลำธารเพื่อให้เทพารักษ์มาช่วยบ้าง
เมื่อเทพารักษ์ปรากฏกายมาช่วยงมเอาขวานทองคำมาให้ ชายโลภก็รีบตอบรับว่านั่นคือขวานของเขา
เทพารักษ์กริ้วที่ชายผู้นั้นพูดเท็จเพราะโลภมากจึงไม่ยอมให้ ขวานทองคำเเก่เขา ปล่อยให้เขานั่งร้องไห้เลียดายขวานเหล็ก ตามลำพัง
*** ความซื่อย่อมนำความเจริญให้ได้ดีกว่าความโลภ
(13) คนตัดไม้กับสุนัขจิ้งจอก
คนตัดไม้พาสุนัขจิ้งจอกเข้าไปซ่อนที่ข้างกระท่อม เมื่อถูกขอความช่วยเหลือ
พวกล่าสัตว์จูงหมาล่าเนื้อมาถึงก็ถามคนตัดไม้ว่าเห็น สุนัขจิ้งจอกหรือไม่
"ไม่เห็นเลยเพื่อนเอ๋ย"
คนตัดไม้ปฏิเสธเเต่ก็ชี้นิ้วไปทางข้างกระท่อม
พวกล่าสัตว์ไม่เข้าใจสัญญาณบอกใบ้นั้นจึงพากันกลับไป
สุนัขจิ้งจอกรออยู่อีกสักครู่ก็ออกมาจากที่ซ่อนเเล้ววิ่ง ผ่านหน้าคนตัดไม้ไป คนตัดไม้จึงร้องขึ้นว่า
"ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าไม่ขอบคุณข้าเลยหรือ"
"ลิ้นของเจ้าไม่ตรงเหมือนนิ้วของเจ้าเลยนะจะให ้ขอบใจได้อย่างไร"
สุนัขจิ้งจอกกล่าวเเล้วก็วิ่งเข้าป่าไป
***คนไม่ซื่อ ย่อมไม่มีผู้ใดนับถือ
(14) คนหาปลา
ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งเป่าขลุ่ยอย่างไพเราะอยู่ที่ริมเเม่น้ำเพื่อหวัง จะเรียกปลาขึ้นมาจากน้ำ เเล้วตนจะได้จับเอาไปเป็นอาหาร
เพลงเเล้วเพลงเล่าผ่านไป ชายหนุ่มก็ต้องโมโหที่ไม่เห็นปลา สักตัวผุดจากน้ำขึ้นมาตามเสียงขลุ่ยอันไพเราะของเขา
ดังนั้นเขาจึงกลับบ้านไปเอาเหมาเหวี่ยงลงน้ำไม่ช้าก็ได้ปลาเล็ก ปลาน้อยติดร่างเเหหลายสิบตัว
ชายหนุ่มคนหาปลาขัดเคืองใจนักจึงบ่นตำหนิปลาว่า
"ทีอย่างนี้กระโดดโลดเต้นกันใหญ่ ที่เป่าขลุ่ยให้ฟังกลับทำ เงียบเฉย"
*** คิดทำการใด ควรหาวิธีการหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม กิจการนั้น จึงจะสำเร็จผลได้
(15) คนหาปลากับพราน
วันหนึ่งคนหาปลาเดินสวนกับนายพรานเเละเห็นว่านายพราน มีเนื้อสัตว์มากมายจึงถามว่า
"ท่านพรานป่า ข้าขอเอาปลาเเลกกับเนื้อสัตว์บ้างได้หรือไม่"
นายพรานเห็นคนหาปลามีปลาหลายตัวก็นึกอยากจะลองกิน เนื้อปลา
วันต่อๆ มาคนหาปลากับพรานก็นัดพบเพื่อเเลกเปลี่ยนอาหารกัน ทุกวัน
จนกระทั่งวันหนึ่งคนหาปลาก็เอ่ยขึ้นว่า
"ท่านยังอยากจะเเลกเนื้อกับปลาอยู่หรือไม่"
นายพรานก็ตอบว่าตนเริ่มเบื่อปลาเเละอยากกินเนื้อดังเดิมเเล้ว
ทั้งสองจึงตกลงเลิกเเลกเปลี่ยนอาหารกันอีกต่อไป
*** คนเรามักอยากลิ้มลองของใหม่ เเต่ไม่นานก็ต้องเห็นค่าของ ของเก่า
(16) คางคกกับสุนัขจิ้งจอก
คางคกคุยอวดสุนัขจิ้งจอกว่า
"เจ้ารู้ไหมว่า ข้าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ ข้าเป็นหมอเทวดา มียาวิเศษมากมายหลายขนาน เจ้าเชื่อข้าเถอะนะ"
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังก็หัวเราะเยาะเเล้วว่า
"ข้าก็อยากจะเชื่อเจ้าหรอกนะ ถ้าเจ้ารักษาผิวหนัง ตะปุ่มตะป่ำ ของเจ้าให้หายดีได้เสียก่อน "
*** ผู้อื่นย่อมเชื่อถือผลงาน มากกว่าคำโอ้อวด
(17) ค้างคาวเลือกพวก
ค้างคาวนั้นถือว่าตนก็มีปีกเหมือนนก เเละก็มีหูเหมือนสัตว์ อื่นทั่วๆ ไป
ดังนั้นเมื่อนกยกพวกไปต่อสู่กับสัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ขอตัวไม่ เข้าข้างฝ่ายใดโดยทำตัวเป็นกลาง
เเต่เมื่อพวกของนกมีท่าทีว่าจะชนะ ค้างคาวก็ประกาศตัว ไปเข้ากับฝ่ายนก
ต่อมาพวกนกจะพลาดท่าเสียทีเเก่สัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ผละ จากนกไปเข้าพวกกับสัตว์อื่นๆ
ต่อมานกต่อสู้จนใกล้จะได้ชัย ค้างคาวก็กลับมาอยู่ข้างฝ่ายพวก นกอีก
เมื่อนกกับสัตว์อื่นๆ ทำสัญญาสงบศึกเเละเป็นมิตรต่อกัน ทั้งสองต่างก็ขับไล่ค้างคาว ไม่ยอมให้เข้าพวกด้วย
ค้างคาวอับอายจึงไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ จะออกจากถ้ำไปหา อาหาร ในตอนกลางคืนเท่านั้น
*** ผู้ที่ขาดความจริงใจ ไม่มีใครอยากคบหาด้วย
(18) ชายโง่กับต้นไผ่
เมื่อบิดาตายเเล้วชายผู้โง่เขลาเบาปัญญาก็นั่งมองต้นไผ่ที่บิดาปลูกไว้รอบๆ สวน พลางคิดว่า
"ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีดอกไม่มีผลให้เก็บไปขาย"
คิดดังนั้นชายโง่ก็ให้คนงานตัดต้นไผ่ทิ้งจนหมด
หลังจากนั้นสัตว์ต่างๆ เเละคนพเนจรก็พากันเข้าออกในสวนอย่างสะดวก สบาย
สวนผลไม้จึงได้รับความเสียหาย ทั้งถุกขโมยผล ทั้งถูกเหยียบย่ำทำลาย ในที่สุดผลไม้ก็ตายหมดทั้งสวนเพราะไม่มีต้นไผ่ที่เป็นเสมือนรั้วล้อมรอบ ป้องกันภัยอย่างเเต่ก่อน
*** ของทุกสิ่งย่อมมีประโยชน์ในทางที่เเตกต่างกัน
(19) ชายพเนจรอกตัญญู
ชายสองคนเดินทางพเนจรไปเรื่อยๆ เมื่อพบไม้พุ่มหนึ่ง จึงชวนกันหยุดพักใต้ร่มเงาของพุ่มไม้
ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันที่เเดดร้อนจัด ชายคนหนึ่งเอนตัวลง นอน ใต้เงาไม้พลางเเหงนมองดูพุ่มไม้เเล้วกล่าวว่า
"ไม้พุ่มนี้ไม่มีผลให้เรากินเลยนะ"
อีกคนก็เอ่ยบ้างว่า
"จริงด้วย ไม้พุ่มนี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ"
*** คนโง่เเละคนชั่วมักเป็นคนอกตัญญู
(20) ชาวนากับเทพารักษ์
ชาวนาผู้หนึ่งนั่งร้องไห้บนบานขอให้เทพารักษ์มาช่วย
"เกวียนติดอยู่ในหล่มลึกอย่างนี้ ลูกจะทำอย่างไรได้ ท่านเทพยดา ผู้รักษาป่าขอจงมาช่วยลูกด้วยเถิด"
เทพารักษ์ปรากฏกายตรงหน้าชาวนาเเล้วกล่าวว่า
"ถ้าอยากยกเกวียนให้พ้นหล่ม ก็จะเอาบ่าของเจ้าสอดไปใต้ล้อ เเล้วออกเเรงยกเกวียนขึ้นเท่านั้นเอง"
*** จงพยายามช่วยตัวเองก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
(21) ชาวนากับงูเห่า
ชาวนาเดินออกจากบ้านในเช้าฤดูหนาววันหนึ่ง
ระหว่างทางพบงูเห่าตัวหนึ่งนอนตัวเเข็งใกล้ตายอยู่บนคันนา ด้วยความเหน็บหนาว
ชาวนาเวทนานักจึงก้มลงประคองมันขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมเเขน เพื่อให้มันคลายหนาว
เมื่องูเห่าได้รับความอบอุ่นก็เริ่มมีกำลังขึ้น มันจึงกัดชาวนา ก่อนที่จะเลื้อยหนีไป
ชาวนาทนพิษบาดเเผลไม่ไหวจึงสิ้นใจตายในไม่ช้า
*** ข้องแวะกับคนชั่ว อาจนำภัยมาให้ (นิทานเรื่องนี้ตรงกับมงคลชีวิตข้อที่ 1 คือไม่คบคนพาล)
(22) ชาวนากับสิงโต
ชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงเเกะกับเเพะไว้หลายสิบตัว วันหนึ่ง มีสิงโตตัวใหญ่พลัดหลงเข้าไปในอาณาบริเวณบ้าน ของชาวนา เขาจึงรีบปิดประตูรั้วไว้เพื่อมิให้ สิงโต ออกไป จากบริเวณบ้านได้
เมื่อสิงโตถูกขังเช่นนั้นก็มิได้เดือดเนื้อร้อนใจนัก เมื่อ มันหิว มันก็จับเเพะกับเเกะกินเป็นอาหารอย่างอิ่มหนำ สำราญใจ
ชาวนาเห็นเเพะกับเเกะของตนถูกจับกินไปหลายตัวจึง รีบ เปิดประตูรั้วที่ล้อมรอบบ้านไว้ เพื่อปล่อยให้สิงโต กลับออกไปเป็นอิสระได้
"โธ่ไม่น่าเลยเรา" ชาวนานั่งคร่ำครวญเสียดาย เเพะกับ เเกะ ของตน เมียของชาวนาจึงได้เเต่สมน้ำหน้า ที่สามีอยากเเกล้งขังสิงโตไว้ในบ้านดีนัก
*** อย่าเลี้ยงสัตว์ดุร้าย เเละ โจร ไว้ในบ้านเป็นอันขาด
(23) เด็กเลี้ยงเเกะชอบปด
วันหนึ่งเด็กเลี้ยงเเกะคิดหาเรื่องสนุกๆ เล่น จึงเเกล้งร้องตะโกน ขึ้นมาว่า
"ช่วยด้วย! หมาป่ามากินลูกเเกะเเล้ว ช่วยด้วยจ้า ! "
พวกชาวบ้านจึงพากันวิ่งมาช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่างๆ เเต่เมื่อมาถึงก็ไม่พบหมาป่าสักตัว
"มันวิ่งไปทางโน้นเเล้วล่ะ"
เด็กเลี้ยงเเกะโป้ปดเเล้วก็เเอบหัวเราะชอบใจภายหลัง
ต่อจากนั้นเด็กเลี้ยงเเกะก็เเกล้งหลอกให้ชาวบ้านวิ่งหน้าตื่น เช่นเดิมได้อีก ๒- ๓ ครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งมีหมาป่ามาไล่กินเเกะจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงเเกะ ตะโกนขอความช่วยเหลือจนคอเเหบ คอเเห้ง พวกชาวบ้านก็ไม่มาเพราะคิดว่าเด็กหลอก
*** คนที่มักโป้ปดมดเท็จ เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครเชื่อ
(24) เด็กโลภ
เด็กชายคนหนึ่งอยากกินลูกเกาลัดมาก จึงล้วงมือลงไปในโถ เเล้วกอบลูกเกาลัดจนเต็มกำมือเเละไม่สามารถเอามือออกจาก ปากโถเเคบๆ ได้
เด็กชายจึงร้องไห้อยู่อย่างนั้นเพราะไม่ยอมปล่อยลูกเกาลัด ออกจากมือ
เมื่อผู้ใหญ่คนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเข้าจึงว่า
"ทำไมไม่ปล่อยลูกเกาลัดในมือเสียก่อน ถ้าล้วงหยิบเกาลัด ทีละลูกเดียว ก็สามารถหยิบกินได้จนอิ่มเหมือนกัน มือก็ไม่ติด ปากโถด้วย"
***ได้ทีละน้อย ก็สามารถเก็บให้เป็นมากได้
(25) เด็กซุกซนกับหมาป่า
เมื่อปีนขึ้นไปนั่งเล่นบนหลังคาบ้านได้ เด็กน้อยผู้เเสน ซุกซนก็ดีอกดีใจเป็นยิ่งนัก เที่ยวเอาก้อนหินขว้างเเมว ขว้างไก่เล่นเป็นที่สำราญใจ
ครั้นเห็นหมาป่าเดินผ่านมา เด็กซุกซนก็ร้องตะโกน ท้าทายเป็นการใหญ่
"เจ้าหมาป่าหน้าโง่ ใครๆ ก็กลัวเจ้านักหนาเเต่ข้าไม่ กลัว เเน่จริงก็มาจับข้าสิ ฮ่า ฮ่า ข้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ เเค่นี้เจ้ากลัวรึไง เจ้าหน้าโง่เอ๊ย ข้าน่ะเก่งกว่าเจ้า หลายเท่านัก ถึงได้ล้อเจ้าได้"
หมาป่าส่ายหน้าอย่างระอาพลางว่า
"เจ้าล้อข้าได้เพราะหลังคาสูงนั่นต่างหาก ไม่ใช่เพราะว่า เจ้าเก่งหรอก"
*** เเม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ ก็ควรประเมินดู ความสามารถ
(26) ต้นโอ๊กผู้ยิ่งใหญ่
ในเย็นวันหนึ่ง มีพายุใหญ่พัดกระหน่ำจนต้นอ้อนั้นพากันระเนน เอนลู่ ไปตามกระเเสลม
ต้นโอ๊กใหญ่เห็นเช่นนั้นจึงถามต้นอ้อว่า
"ไฉนเจ้าจึงไม่ยืนนิ่งต้านเเรงลมเล่า"
ต้นอ้อตอบอย่างถ่อมตนว่า
"ข้านั้นเป็นต้นไม้เล็กๆ ไม่มีเเรงกำลังมากเช่นท่าน ลมพัดไป ทางไหนก็ต้องเอนไปทางนั้น"
ต้นโอ๊กได้ฟังก็หัวเราะดังลั่นอย่างภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ ของตน
เเต่ทว่าคืนนั้น พายุยังคงโหมกระหน่ำรุนเเรงจนต้นโอ๊กหักโค่น ลง เหลือเเต่ต้นอ้อที่ยังมีชีวิตอยู่ เเละเมื่อพายุสงบลง ต้นอ้อ ก็หยัดยืนตรงได้อีกครั้ง
*** รู้จักโอนอ่อนย่อมหยัดยืนอยู่ได้นานกว่าเเข็งกระด้างตลอดไป
(27) ต้นสนอวดดี
ต้นสนมักจะคิดว่าตนนั้นมีความสวยงามกว่าต้นฉำฉา อีกทั้งยังมีประโยชน์มากกว่าด้วย
"คนต้องการต้นสนอย่างเราเพื่อไปสร้างเป็นที่อยู่อาศัย เเละ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ"
ต้นสนคุยข่มต้นฉำฉาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน
"เเต่เจ้าน่ะไม่เห็นจะเป็นประโยชน์ต่อใครเลย"
"ข้ารู้ตัวดี ว่าข้านั้นต่ำต้อยด้อยค่ากว่าท่าน เเต่ลองดูข้างหน้านั่นสิ มีคนเอาเลื่อยกับขวานมาเเล้ว ทีนี้ ท่านยังอยากเป็นต้นสนหรือต้นฉำฉาล่ะ"
*** เที่ยวโอ้อวด ความดี ความเด่น ย่อมเป็นโทษเป็นภัยเเก่ตนเอง
(28) ตั๊กเเตนผู้หิวโหย
ตั๊กเเตนตัวหนึ่งไม่ได้กินอาหารมาหลายวันเเล้ว
มันเดินโซเซเพราะไร้เเรงกระโดดมาจนถึงลานดิน ใต้ต้นโอ๊กใหญ่ท่ามกลางลมฤดูหนาว
พวกมดกำลังขนเมล็ดข้าวโพดออกจากรังมาตากให้เเห้ง
ตั๊กเเตนจึงเดินไปขอกินเมล็ดข้าวโพดสัก ๒-๓ เม็ดเพื่อประทังชีวิต เเต่มดกลับถามว่า ทำไมตอน ฤดูร้อน ไม่หาเสบียงอาหารกักตุนไว้
ตั๊กเเตนก็ตอบว่าตนร้องเพลงเที่ยวเล่นไปตลอดฤดูร้อน
"ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ควรจะเต้นรำไปตลอดฤดูหนาว " มดตอบ เเล้วก็ขนเมล็ดข้าวโพดกลับเข้ารังไปให้พวก ของตนกิน
*** ควรขยันทำมาหากิน เพื่อให้มีพอเพียงในยามยาก
(29) เทียนเเข่งเเสง
เมื่อเทียนไขถูกจุดใช้จนใกล้จะหมดเเท่งนั้น เเสงของเทียน มักจะยิ่งสว่างเรืองรองขึ้นกว่าเดินหลายเท่านัก
ด้วยเหตุนี้เทียนเเท่งหนึ่งจึงคุยอวดกับเจ้าของว่า
"เเสงเทียนของข้านั้นสว่างกว่าเเสงดาว เเสงจันทร์ เเละเเม้กระทั่งเเสงอาทิตย์ด้วยนะ"
ทันใดนั้นเองกระเเสลมก็พัดผ่านมาวูบหนึ่ง เเล้วเเสงเทียนดับ วูบลง
เจ้าของจึงจุดเทียนขึ้นใหม่เเล้วกล่าวว่า
"เเสงอาทิตย์ เเสงจันทร์ เเละเเสงดาวนั้นยากที่จะดับ เเละไม่ ต้องมีใครจุดให้ เเต่เทียนอย่างเจ้านั้นต้องมีคนจุดจึงจะมีเเสง เเละเจ้าก็มีวันดับมีวันหมดเเสง"
*** ทำหน้าที่ของตนอย่างเจียมตน จึงดูมีคุณค่าน่าไปเปรียบเทียบ เเข่งขันกับผู้อื่น
(30) นกกระเรียนกับหมาป่า
นกกระเรียนเห็นหมาป่านอนดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดที่กลางป่า จึงเข้าเข้าไปถามไถ่อย่างเวทนาว่า
"เจ้าเป็นอะไรหรือ"
"ข้ากลืนชิ้นเนื้อเข้าไป กระดูกติดคอข้า ทำอย่างไรก็ไม่ออก"
หมาป่าบอกเเล้วก็ขอร้องให้นกกระเรียนช่วยตนด้วย เเล้วตน จะให้รางวัลอย่างงามเป็นการตอบเเทน
นกกระเรียนจึงยื่นคออันยาวเรียวของมันเข้าไปในปากหมาป่า เเละสามารถล้วงเอากระดูกออกมาได้สำเร็จ
เมื่อนกกระเรียนทวงถามถึงรางวัล หมาป่าก็คำรามว่า
"ข้าไม่งับคอเจ้าขาดตายก็ดีเเล้ว ยังจะมาเอาอะไรจากข้าอีก เล่า"
*** คนเลวมักไม่เห็นความดีของผู้อื่น
(31) นกยางได้ใจ
นกยางชอบชวนกันไปจิกกินเมล็ดข้าวในนาเพราะรู้ดีว่าชาวนา ผู้นั้นใจดีไม่เคยฆ่าสัตว์
เมื่อเห็นนกยางลงมาจิกกินเมล็ดข้าวทุกๆ วัน ชาวนาก็เริ่มโมโห จึงยกคันธนูขึ้นทำท่าจะยิงนก เพื่อขู่ให้นกกลัวเเละหนีไป
เเต่นกยางเห็นว่าชาวนาไม่ได้ขึ้นสายธนูจึงไม่กลัว พากันมาจิก กินเมล็ดข้าว ที่เพิ่งหว่านลงในนาอย่างได้ใจ
วันรุ่งขึ้นชาวนาเห็นนกยางชวนกันมาอีก จึงขึ้นสายธนู เเละ ยิง นกยางตายหลายตัว
"เขาเอาจริงเเล้ว รีบหนีกันเถิดเรา"
นกยางต่างร้องบอกเพื่อนๆ เเล้วก็พากันบินหนีไป ไม่มาที่นา เเห่งนั้นอีกเลย
การเอาจริงน่ากลัวกว่าการข่มขู่
(32)นกสาวมีลูก
เมื่อกกไข่ได้หลายตัว นกพิราบสาวก็ดีอกดีใจเป็นยิ่งนัก จึงได้ คุยอวดกับกาเฒ่าว่า
"ฉันมีลูกเพิ่มขึ้นอีกหลายตัวเเล้วล่ะจ้ะ ฉันมีความสุขมาก"
กาเฒ่ามองนกพิราบสาวอย่างเวทนาพลางว่า
"การที่มีลูกเพิ่มอีกหนึ่งตัวก็เท่ากับมีภาระเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีลูกเพิ่มอีกห้าตัว ก็มีภาระเพิ่มอีกห้าอย่าง"
ทุกชีวิตย่อมต้องตกเป็นดั่งทาสของสิ่งที่ให้ความสุขเเก่ตน
(33) นักรบไร้ผม
นักรบชราผู้หนึ่งรู้สึกอับอายศีรษะอันล้านเลี่ยนของตน จึงได้ไป เสาะหาวิกผมมาสวมใส่
วันหนึ่งเขาออกไปล่าสัตว์กับเพื่อนๆ นักรบรุ่นเดียวกัน ขณะที่ ควบม้าไปนั้นกระเเสลมก็พัดมาทำให้วิกผมปลอมปลิวไปทันที
เพื่อนๆ พากันหัวเราะขบขันเมื่อเห็นศีรษะอันล้านเลี่ยนไร้เส้นผม ของเขา
เเต่นักรบชราก็พยายามเอ่ยอย่างขบขันเเก้เขินว่า
"ผมจริงยังเอาไว้ไม่อยู่ เเล้วจะเอาผมปลอมไว้ได้อย่างไร"
ถ้ายอมรับในสภาพความเป็นจริง ก็ไม่ต้องอับอายใคร
(34) นักดูดาว
ชายผู้หนึ่งสนใจในเรื่องของดวงดาวเป็นยิ่งนัก เขา ศึกษา โหราศาสตร์เเละเรียนรู้เรื่องอิทธิพล ของ ดวงดาว จนเเตกฉาน
คืนหนึ่งเขาเฝ้าสังเกตวิถีการโคจรของดวงดาว ตั้งเเต่ย่ำค่ำจนดึกดื่น
เขาเดินเเหงนหน้ามองท้องฟ้าเพื่อตามดูดาวโคจร ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินออกจากถนนเเล้วพลัด ตกลงไปในหนองน้ำ
นักดูดาวได้เเต่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจนเสียง เเหบเสียงเเห้ง กว่าจะมีชาวบ้านผ่านมาช่วยดึงขึ้น จากน้ำ
ต้องรู้วิถีทางเดินของตนให้ดี ก่อนที่จะรู้วิถีทางของ สิ่งอื่น
(35) นางเเมวมีรัก
นางเเมววิงวอนขอร้องพระพรหมว่า
"ขอให้ท่านเมตตา เสกให้หม่อมฉันกลายเป็นหญิงสาวด้วย เถิดเพคะ หม่อมฉันหลงรักชายหนุ่มผู้นั้นเหลือเกิน"
พระพรหมเวทนาจึงเสกให้นางเเมวกลายเป็นคน
"ถ้าอยากเป็นคน ก็ต้องเป็นให้ตลอดนะ"
พระพรหมตรัสเเล้วก็คอยส่องทิพยเนตรดูนางเเมวต่อไป
วันหนึ่งนางเเมวในร่างหญิงสาวกำลังพรอดรักกับชายหนุ่ม อย่างหวานชื่น ครั้นมีหนูตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา หญิงสาวก็กระโดด เข้าตะครุบหนูมากินในทันใด
พระพรหมจึงทรงสาปให้หญิงสาวกลับเป็นนางเเมวดังเดิม
ยากที่ผู้ใดจะละทิ้งสันดานเดิม
(36) นางสิงห์
พวกสัตว์ตัวเมียนานาชนิดมักมาคุยอวดกันว่าตนนั้นออกลูก คราวละหลายตัว จึงสามารถมีครอบครัวใหญ่เเละเเพร่ขยาย พันธุ์ได้รวดเร็ว
นางหมาจิ้งจอกเเม่ลูกอ่อนก็คุยอวดบ้างอย่างภาคภูมิใจว่า
"ฉันก็เพิ่งคลอดลูกครอกหนึ่ง ๖ ตัวเชียวนะ"
"ฉันก็ได้ลูก ๘ ตัวเมื่อเร็วๆ นี้เอง" นางหมูป่าอวดบ้าง เเล้วก็หันไปถามนางสิงโตที่นั่งฟังเงียบๆ "เเล้วเธอล่ะ ออกลูกทีละกี่ตัวจ๊ะ"
นางสิงห์ยิ้มน้อบๆ พลางตอบอย่างเคร่งขรึม
"ฉันออกลูกทีละตัวเดียว เเต่มันเป็นลูกสิงโตนะ"
การมีลูกน้อยเเต่มีคุณภาพย่อมดีกว่ามีลูกปริมาณมากๆ เเต่ไร้คุณภาพ
(37) ปลาโลมากับสิงโต
ปลาโลมากับสิงโตได้ตกลงเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายต่อกัน
ครั้นวันหนึ่งสิงโตมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับควายป่าจนถึงขั้นต่อสู้กัน
สิงโตจึงวิ่งมาที่ชายหาดเเล้วร้องว่า
"โลมาเพื่อนยาก ถึงคราวที่ท่านต้องทำตามสัญญาเเล้ว ไปช่วยข้าสู้กับควายป่าด้วยเถิด"
เเต่ปลาโลมาต้องปฏิเสธเพราะไม่สามารถขึ้นมาบนบกได้ เเม้ว่ามีน้ำใจอยากจะช่วยมิตรสหายเพียงใดก็ตาม
"โธ่เอ๋ย! ปลาโลมาเพื่อนทรยศ ไม่สมกับเป็นเจ้าเเห่งทะเลเลย"
สิงโตบ่นว่าเพื่อนร่วมสาบาน ปลาโลมาจึงว่า
"ก็เพราะข้าเป็นใหญ่ในน้ำน่ะสิ ขึ้นบกไปเเล้วข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ทำไมท่านไม่เข้าใจเลย"
จะขอให้ใครช่วย ควรดูความถนัด
(38) ผึ้งขอพร
พระอิศวรตรัสถามผึ้งที่มักจะนำน้ำผึ้งสดๆ เต็มรวงมาถวาย อยู่เสมอว่า
"เจ้าอยากได้พรใด จงขอมา ข้าจะให้พรเเก่เจ้า"
"ข้าอยากได้เหล็กในพระเจ้าข้า เมื่อต่อยเหล็กในมีพิษใส่ใคร ผู้นั้นต้องตายทันที"
คำขอของผึ้งทำให้พระอิศวรทรงกริ้วที่ผึ้งคิดทำร้ายผู้อื่น เเต่พระองค์ก็ทรงจำต้องให้พรตามที่ลั่นวาจาไว้
"ได้ ข้าจะให้พรเเก่เจ้า เเต่คนหรือสัตว์ที่ถูกเจ้าต่อยจะไม่ตาย ในทันที ส่วนเจ้านั้นเมื่อปล่อยเหล็กในเมื่อใดก็ต้องตายเมื่อนั้น"
ผู้ที่ขอให้เทพยดาทำร้ายผู้อื่น มักต้องได้รับกรรมด้วย
(39) ผู้ใหญ่ช่างสอน
เด็กน้อยคนหนึ่งพลัดตกลงไปในเเม่น้ำจึงร้องตะโกนขึ้นว่า
"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ว่ายน้ำไม่เป็น ช่วยหนูด้วย"
ขณะนั้นมีผู้ใหญ่คนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เมื่อได้ยินเสียงร้อง ของเด็กจึงไปที่ริมฝั่งเเม่น้ำเเล้วอบรมสั่งสอนว่า
"หนูช่างซุกซนเหลือเกินนะ ถ้ารู้ตัวว่าว่ายน้ำไม่เป็นเเล้วมาเล่น ริมน้ำทำไม ไม่คิดหรือว่าถ้าตกลงไปใครจะมาช่วย"
เด็กน้อยพยายามตะโกนตอบว่า
"คุณน้าจ๋า ช่วยหนูขึ้นไปก่อน เเล้วค่อยอบรมได้หรือไม่"
ช่วยเเก้ปัญหาให้เขาได้เสียก่อน เเล้วค่อยสั่งสอนเขา ดีกว่าสั่งสอนหรือซ้ำเติมคนที่กำลังประสบปัญหา
(40) พรานใหม่ผู้กล้าหาญ
พรานใหม่คนหนึ่งมักจะเข้าไปถามพวกคนตัดไม้ว่าเห็นหมูป่า บ้างไหม บริเวณใดมีกวางมีเนื้อบ้าง
เเต่พวกคนตัดไม้ก็ยังไม่เคยเห็นพรานใหม่ผู้นี้ล่าสัตว์ใดได้สักตัว
วันหนึ่งพรานใหม่เข้าป่ามาเเต่เช้าพลางถามคนตัดไม้ว่า
"พี่ชาย เห็นรอยเท้าสิงโตที่ไหนบ้าง ช่วยบอกด้วยเถิด"
คนตัดไม้ก็บอกว่าเห็นอยู่ไม่ไกลนัก ตนยินดีจะพาไปล่าถึง หน้าปากถ้ำสิงโตเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรานใหม่ก็ถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าตนเพียงอยากเห็นรอยเท้าสิงโตเท่านั้น มิได้อยากล่าสิงโต
ผู้ที่ขี้ขลาด มักเเสดงว่ากล้าหาญเมื่อภัยยังไม่มาถึง
(41) ราชสีห์กับหนู
ราชสีห์ตัวหนึ่งนอนหลับพักผ่อนยามบ่ายอย่างมีความสุข พลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเพราะมีหนูตัวหนึ่งขึ้นมาวิ่งไต่ตามลำตัวโดยไม่ทราบว่าเป็นร่างของผู้เป็นเจ้าป่า ราชสีห์ใช้อุ้งเท้าตะครุบเอาไว้ด้วย
ความโกรธ
ขณะจะลงมือสังหารก็ได้ยินเสียงหนูกล่าวคำวิงวอน“ท่านผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง โปรดไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่งเถิด เพราะข้าทำผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มิได้มีเจตนาดูหมิ่นท่านแม้แต่น้อย” “ฮึ..ก็ได้ ใน
เมื่อเจ้าไม่มีเจตนาข้าก็จะปล่อยไปสักครั้งแล้วอย่ามากวนใจอีกล่ะ”
ราชสีห์ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้อ่อนแอกว่าจึงยอมเลิกรา “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลยตราบชั่วชีวิต หากมีโอกาสวันหน้าข้าต้องตอบแทนแน่ ถ้าท่านมีเรื่องเดือนร้อนอันใด โปรดส่งเสียงคำราม ข้าจะรีบมา
ทันที”“
ฮะ..ฮะ..ฮะ..” ราชสีห์หัวเราะเสียงสั่น “สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเจ้านี่จะทำอะไรให้ข้าได้ ไป..รีบไปให้พ้นหน้า ข้าจะนอนต่อละ”หลังจากวันนั้นไม่นาน ราชสีห์ออกล่าเหยื่อและเกิดพลาดท่าไปติดบ่วงของนาย
พราน ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดส่งเสียงร้องสั่นป่า หนูจำเสียงได้รีบมาช่วยกัดบ่วงของนายพรานจนขาด ราชสีห์จึงได้เป็นอิสระอีกครั้ง
อย่าดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่าตน
(42) เเพะกับสิงโต
สิงโตคำรามใส่เเพะว่า
"ข้าพบน้ำพุน้อยนี้ก่อน ข้าต้องได้กินน้ำนี้ก่อน"
เเต่เเพะก็ร้องว่า
"ข้าต่างหากที่มาพบก่อนเจ้า"
เมื่อตกลงกันไม่ได้ สิงโตกับเเพะก็กระโจนเข้าต่อสู้กันพัลวัน ท่ามกลางเเสงเเดดยามเที่ยงที่ร้อนอ้าว
ทั้งสองฟัดกันหมดเเรงนอนกลิ้งเกลือกอยู่ด้วยกันในขณะที่ ฝูงอีเเร้งบินวนเวียนไปมาอยู่บนฟ้าเหนือน้ำพุน้อย
เเพะจึงเสนอว่าควรจะเเบ่งกันกินดีกว่าสู้กันจนตายกลายเป็น อาหารให้อีเเร้ง
สองฝ่ายตีกัน ฝ่ายที่สามย่อมได้ผลประโยชน์
(43) เเพะอยากกินน้ำ
เเพะตัวหนึ่งเดินมาที่บ่อน้ำ เมื่อชะโงกหน้าลงไปก็เห็น สุนัขจิ้งจอก ตัวหนึ่งอยู่ในบ่อ จึงเอ่ยถามว่า
"เพื่อนเอ๋ย บ่อนี้ลึกมากหรือไม่"
สุนัขจิ้งจอกซึ่งพลัดตกลงมาในบ่อเเล้วหาทางขึ้นไปไม่ได้ จึงโป้ปดออกไปด้วยความเจ้าเล่ห์ว่า
"ไม่ลึกเลยเพื่อนเอ๋ย น้ำในบ่อนี้ก็ใสเเละเย็นชื่นใจดีจริงๆ เจ้าลงมากินเถิด"
เเพะไม่ทันคิดให้รอบคอบก็รีบกระโดดลงไปในบ่อทันที
สุนัขจิ้งจอกจึงเหยียบเขาเเพะเเล้วปีนขึ้นมาที่ปากบ่อได้สำเร็จ เเล้วก็หันมาหัวเราะเยาะในความโง่เขลาเบาปัญญาของเเพะ ก่อนจากไป
การทำสิ่งใดควรเชื่อความคิดเเละสายตาของตนเอง ดีกว่าเชื่อคนอื่น
(44) ม้ากับหมาป่า
หมาป่าเดินมาพบม้าที่กลางทางจึงเอ่ยขึ้นว่า
"พี่ม้าเอ๋ย ข้าเพิ่งผ่านไร่ข้าวโอ๊ตมาเมื่อครู่นี้ เห็๋นข้าวโอ๊ตออก รวงงาม น่ากินเป็นยิ่งนัก เเต่ข้าไม่ได้กินมันสักคำเพราะคิดจะ เก็บไว้ให้ท่านกิน ท่านมากินข้าสิ ข้าจะพาไป"
ม้าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ เเล้วว่า
"ข้าขอบใจนะ ที่เจ้าบอกเรื่องไร่ข้าวโอ๊ต เเต่ข้าไม่ได้ขอบใจ ที่เจ้าไม่กินข้าวโอ๊ต เพราะข้ารู้ดีว่าข้าวโอ๊ต ไม่ใช่อาหาร ของหมาป่าอย่างเจ้า"
หากให้ด้วยความไม่จริงใจ ไม่ทำให้ผู้รับเกิดความซาบซึ้ง
(45) ม้าพยาบาท
ขณะที่ม้ากำลังกินน้ำอย่างหิวกระหายที่ริมลำธารเเห่งหนึ่ง หมูป่าก็เดินลุยลงไปในลำธารจนน้ำขุ่นกินไม่ได้
ม้าโมโหหนักจึงต่อว่าหมูป่าว่าลงมาย่ำน้ำทำไม
"ก็ฉันหิวน้ำเหมือนกันนี่"
หมูป่าตอบอย่างซื่อๆ เเต่ม้านั้นยังโกรธเเค้นไม่หาย จึง ต่อว่า ต่อขานหมูป่าไม่เลิก ในขณะที่หมูป่าก็โต้เถียง ไม่ลดละ
ม้าจึงไปหานายพรานคนหนึ่ง เเละขอให้นายพรานมาฆ่า หมูป่าเสียให้ตาย
นายพรานจึงเอาบังเหียนใส่ปากเเล้วขึ้นนั่งบนหลังม้าควบ ไปยังลำธาร เเล้วก็พุ่งหอกใส่หมูป่าอย่างง่ายดาย
เมื่อเสร็จธุระเเล้วพรานป่าก็บังคับให้ม้าคอยรับใช้ตน ตลอดไป เพราะการล่าสัตว์บนหลังม้านั้นสะดวกสบายดี เเละม้าก็มิอาจปฏิเสธ ได้เพราะถูกล่ามปากด้วยบังเหียน เเล้ว
ถ้าไม่ผูก พยาบาทชีวิตก็จะสุขสงบ
(46) เเม่เหยี่ยวกับลูก
เเม่เหยี่ยวเป็นทุกข์ใจนักที่เห็นลูกนกเหยี่ยวของตน นอนป่วยมาหลายวันเเล้ว
เมื่อลูกนกมีอาการทรุดหนักลงทุกวัน เเม่เหยี่ยวก็ร่ำไห้ สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ
ลูกนกจึงเอ่ยขึ้นว่า
"อย่ามัวร้องไห้เลย เเม่จ๋า เเม่ลองไปไหว้บนบาน เทพยดา ที่ศาลสิจ๊ะ ท่านจะได้ช่วยชีวิตลูก ท่านจะได้ ช่วยให้ลูกหายเจ็บไข้"
เเม่เหยี่ยวฟังเเล้วก็ยิ่งร้องหนักขึ้นเเล้วว่า
"เเม่ก็อยากทำเช่นนั้นจ่ะลูก เเต่เเม่ไปขโมยอาหาร ที่คนนำมาถวาย ท่านทุกๆวัน เเล้วเทพยดาจะช่วยเรา ทำไมล่ะ โธ่เอ๊ย! เเม่ไม่น่าทำเช่นนั้นเลย ไม่ควรไป ขโมยของท่านเลย"
เมื่อสำนึกความผิดได้ บางครั้งก็สายเกินไป
(47) เเม่กวางกับลูก
เเม่กวางพาลูกน้อยออกไปหาอาหารที่ชายป่า ครั้นพอ ได้ยินเสียงหมาล่าเนื้อ เเม่กวางก็รีบชวนลูกวิ่งหนีเตลิด เข้าป่าทันที
เเม่กวางจึงถามเเม่ว่า
"ทำไมเเม่ต้องกลัวหมาล่าเนื้อด้วยล่ะจ๊ะ ในเมื่อเเม่ ตัวโตกว่า ว่องไวกว่า เเล้วก็ยังมีเขาเเหลมๆ ที่เจ้าหมา ไม่มีอีกด้วย"
เเม่กวางฟังเเล้วก็ถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนจะบอกลูก ตามตรงว่า
"เเม่ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องกลัวมัน เเต่เห็นสัตว์อื่นๆ ก็กลัวมันนะลูก เเค่ได้ยินเสียงมันเห่ามาเเต่ไกลก็ต้องวิ่ง ทุกทีเลยล่ะจ้ะ"
คนที่ไม่เคยคิดสู้ ย่อมมีเเต่ความกลัวตลอดไป
(48) เเมงป่องกับเด็ก
เเม้จะจับจักจั่นได้มากถึง ๑๐ ตัวเเล้ว เเต่เด็กน้อย จอมซน ก็ยังสนอกสนใจ เเมงป่องตัวเขื่อง ที่เกาะอยู่ บนตอไม้ริมทาง
"อย่าจับข้านะ ข้ามีเหล็กในที่ร้ายกาจที่สุดรู้หรือไม่"
เเมงป่องร้องเตือน พลางชูหางขึ้นขู่ เเต่เด็กจอมซน กลับถามว่าทำไมตนต้องกลัวเหล็กในด้วย
เเมงป่องจึงว่าถ้าถูกต่อยด้วยเหล็กใน นอกจาก จะเจ็บปวดเเล้ว ยังจะต้องเสียจักจั่นนับสิบตัวอีกด้วย
เเต่ด้วยความซน เด็กน้อยจึงเอื้อมมือไปจับเเมงป่อง เเล้วก็ถูกเเมงป่องต่อยใส่มือจนปวดนัก ต้องสะบัดมือ โยนจักจั่นทั้งหมดทิ้งไป
ความไม่รู้จักพออาจนำหายนะมาให้
(49) เเม่ตุ่นกับลูกตุ่น
เเม่ตุ่นตัวหนึ่งเพิ่งคลอดลูกตุ่นตัวน้อยๆ น่ารัก
เเต่ลูกตุ่นนั้นยังไม่ทันจะลืมตาได้ก็เริ่มโอ้อวดว่า
"เเม่จ๊ะ เเม่จ๋า ลูกมองเห็นเเล้วล่ะ เห็นชัดเลยจ้ะ"
เเม่ตุ่นประหลาดใจนักจึงทดสอบด้วยการเอากำยานก้อนหนึ่ง ก้อนหนึ่ง มาวางต่อหน้าเเล้วถามว่า
"เเล้วนี่ล่ะจ๊ะ ลูกมองเห็นไหม บอกเเม่วิว่าคืออะไร"
ลูกตุ่นมองไม่เห็นก็ตอบมั่วๆ ว่า
"ก้อนหินไงล่ะจ๊ะเเม่"
เเม่ตุ่นมองไม่เห็นพลางตำหนิลูกว่า
"ลูกจ๋า ตาของลูกยังมองไม่เห็น จมูกก็ยังไม่ได้กลิ่นอีกด้วย"
การชอบโอ้อวดเกินจริง จะทำให้ผู้อื่นเห็นข้อบกพร่องในด้านอื่นๆ ของเราเพิ่มขึ้น
(50) เเม่ปูสอนลูก
เเม่ปูพาลูกๆ ออกไปหากินที่ชายหาด
เมื่อเห็นลูกๆ เดินคดเคี้ยวเซไปมาจึงกล่าวว่า
"ทำไมลูกไม่เดินให้ตรงๆ ทางล่ะจ๊ะ"
ลูกปูจึงตอบ
"ถ้าเช่นนั้นเเม่ลองเดินตรงๆ ให้ลูกดูหน่อยซิจ๊ะ ลูกจะได้ทำตาม"
การพูดอย่างเดียว ไม่อาจสอนใครได้ดี เท่าการทำให้เห็น เป็นตัวอย่าง
(51) เเมลงวันตะกละ
เหล่าฝูงเเมลงวันพากันดีอกดีใจนักที่เห็นโถน้ำผึ้งหกตะเเคงอยู่ บนโต๊ะจนน้ำผึ้งไหลออกมานองเต็มโต๊ะ
พวกมันพากันดูดกินน้ำผึ้งเเสนหอมหวานบนโต๊ะเเละเกาะอยู่ตาม ปากขวดเพื่อดูดกินน้ำผึ้งอย่างตะกละตะกลาม
เมื่อเวลาผ่านไปมันจึงเพิ่งรู้กันว่า น้ำผึ้งนั้นจับติดอยู่ที่ขาเเละปีก ของมันจนไม่สามารถจะบินขึ้นได้
พวกเเมลงวันพากันดิ้นทุรนทุรายไปมา พร้อมกับร้องโอดโอย รอความตายอย่างน่าสมเพช
เมื่อหลงใหลกระโจนใส่ความสุขชั่วยามโดยไม่ระวังตัวก็ต้อง ประสบภัยในภัยในที่สุด
(52) เเมลงวันหัวเราะ
เเมลงวันฝูงหนึ่ง ชักชวนกันไปตอมศีรษะของชายไร้ ผมคนหนึ่งจนเขารำคาญนัก พยายามใช้มือทั้งปัด ทั้งไล่ พวกเเมลงวันก็ยังไม่หนีไปไหน พากันตอม หัวล้านเป็นที่สนุกสนานสำราญใจ
ชายหัวล้านจึงหาไม้เเส้มาปัดมาตี เเต่กลับพลาดตีใส่ ศีรษะตนเอง
เหล่าเเมลงวันเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยชายหัวล้าน เป็นการใหญ่ ชายหัวล้านจึงยิ่งโมโห ร้องเรียกลูกๆ หลานๆ ให้เอาไม้เเส้มาไล่ ตีเเมลงวันจนตายเรียบ ทั้งฝูง
อย่าเยาะเย้ยคนที่พลาดพลั้งเพราะจะเป็นภัยเเก่ตัวในภายหลังได้
(53) เเมวผู้หวังดี
ด้วยเพราะเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านเดียวกัน เเมวจึงเเวะไปเยี่ยม เเม่ไก่ที่นอนป่วยอยู่ในรังหลังบ้าน
"เพื่อนเอ๋ย เจ้านอนป่วยไข้อยู่อย่างนี้ถ้ามีอะไรจะให้ช่วยก็บอก ได้เลยนะ เราอยู่บ้านเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ ถึงข้าจะเคยไล่กัด เจ้าในบางครั้งก็เถอะ อย่าถือสาเลยนะ นี่ข้ามาเยี่ยมเจ้าเพราะ หวังดีจริงๆ"
เเม่ไก่จึงพยายามยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า
"ถ้าเจ้าหวังดีก็ช่วยกลับไปกลับไปก่อนเถอะนะเพื่อนเอ๋ย ถ้าเจ้า มาเยี่ยมอย่างนี้ข้าก็ยิ่งกลัวเจ้า เเละคงจะป่วยหนักขึ้นเป็นเเน่"
เเขกบางประเภทก็ไม่เป็นที่พึงปรารถนาของเจ้าบ้าน
(54) เมื่อสุนัขกัด
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองนั้น ชายเร่ร่อนก็เข้าไปในตลาดเพื่อ หาซื้อข้าวของ เเต่บังเอิญเขาถูกสุนัขในตลาดกัดที่น่องจน เป็นเเผล
"ท่านต้องเอาขนมปังชุบเลือดจากเเผล เเล้วนำไปให้สุนัขตัวนั้น กิน เเผลของท่านจึงจะหายได้เเละไม่เป็นพิษ"
พ่อค้าคนหนึ่งเเนะนำ เเต่ ชายเร่ร่อนยิ้มเเล้วกล่าวว่า
"ถ้าทำเช่นนั้น สุนัขทุกตัวในเมืองก็จะมากัดข้าเป็นเเน่ เพราะรู้ว่า เมื่อกัดข้าเเล้วจะได้กินขนมปัง"
ถ้าใช้เงินซื้อศัตรู มีเเต่จะได้ศัตรูมากขึ้นเรื่อยๆ
(55) ลาเจ้าอุบาย
ลาตัวหนึ่งบรรทุกเกลือเต็มหลังมาจากริมทะเล
ระหว่างทางกลับบ้านต้องข้ามลำธาร บังเอิญลาลื่นล้มลง เกลือละลายไปในน้ำเสียมาก เมื่อเดินทางต่อไปมันจึงรู้สึกว่า เบาหลังสบายนัก
ครั้งต่อไปเมื่อเจ้านายไปซื้อเกลือที่ริมทะเลอีก ลาก็เเกล้งลื่นล้ม ในลำธารอีกเพื่อจะได้ไม่ต้องเเบกเกลือหนักๆ กลับบ้าน
เจ้านายของลารู้ทันอุบายนั้น จึงได้พาลาไปซื้อฟองน้ำในคราว ต่อไป
เเม้จะรู้สึกว่าไม่หนักนัก เเต่ลาก็ยังเเกล้งล้มในลำธารเหมือนเดิม อีก คราวนี้น้ำจึงซึมเข้าไปเต็มเนื้อฟองน้ำจนชุ่มโชก
ลาจึงต้องบรรทุกของที่มีน้ำหนักเพิ่มกว่าเดิมอีกหลายเท่า
เเผนการบางอย่างก็ใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์
(56) ลาโง่กับสิงโต
เมื่อสิงโตคำรามในยามออกล่าเหยื่อ สัตว์ต่างๆ ที่ผ่าน มาก็จะหวาดกลัวเเละรู้ว่าเป็นเสียงสิงโตจึงมักวิ่งหนี ไปได้ก่อนที่จะกลายเป็นอาหารอันโอชะของสิงโต
สิงโตจึงทำอุบายไปตีสนิทกับลาเเล้วชวนลาไปล่าเหยื่อ ด้วยกันลาดีใจนักที่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าป่าจึงทำตามที่ สิงโตบอกทุกอย่าง
ลาเข้าไปซุ่มซ่อนในพงไม้ พอสัตว์ต่างๆ ผ่านมาลาก็จะ เเหกปากร้องสุดเสียง พวกสัตว์ต่างๆ ไม่เคยได้ยินเสียง ลา จึงพากันวิ่งไปอีกทางหนึ่งซึ่งสิงโตดักซุ่มอยู่
วันนั้นสิงโตจึงได้อิ่มหนำสำราญกับสัตว์นานาชนิด
ลาก็คุยโอ่อย่างภูมิใจว่าที่สิงโตกินอิ่มได้ก็เพราะเสียง อันน่ากลัวของตน สิงโตก็ได้เเต่ยกยอปอปั้นลาทั้งๆ ที่รู้ว่าสัตว์ต่างๆ นั้นวิ่งหนี เพราะตกใจในเสียงประหลาดๆ ของลาต่างหาก
คนโง่ย่อมตกเป็นเครื่องมือของคนฉลาด
(57) ลาใจดำ
พ่อค้าคนหนึ่งนำสัมภาระ บรรทุกเกวียนเเล้วให้วัว กับลา ช่วยกันลากไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง
เเม้จะเทียมเเอกคู่กันเเต่ลานั้นไม่ค่อยยอมช่วยออกเเรง ลากนัก
วัวใช้เเรงอยู่ฝ่ายเดียวจนเหนื่อยหอบก็เอ่ยปากขอ ให้ลาช่วยออกเเรงลากเกวียนบ้าง เเต่ลาก็เเกล้งปดว่า ตนก็ช่วยออกเเรงเต็มที่อยู่เเล้ว
วัวออกเรงลากเกวียนอันหนักอึ้งตามลำพังจนขาหัก เเละหมดเเรงขาดใจตายไปในที่สุด
พ่อค้าจึงเเล่เอาเนื้อวัวบรรทุกเกวียนให้ลาลากไป ในขณะที่เกวียนนั้นมีน้ำหนักมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ในวันที่ลาหมดเเรงใกล้จะสิ้นใจตาย นกฝูงหนึ่งที่บิน ตามมาจิกกินเนื้อวัวก็เอ่ยกับลาว่า ถ้าช่วยวัวออกเเรง ลากเกวียนเเต่เเรกก็ไม่ต้องมาตายกลางป่าเช่นนี้
ผู้ที่ไม่คิดช่วยเหลือเกื้อกูลเเต่คิดจะเอาเปรียบผู้อื่นร่ำไป ย่อมได้ภัยเเก่ตนในที่สุด
(58) ลากับม้าทหาร
ลาตัวหนึ่งเเบกสัมภาระอันหนักอึ้งไว้บนหลังขณะเดินทางเข้า ประตูเมือง อย่างเชื่องช้า
"หลีกทางไป เจ้าลาสกปรก"
ม้าทหารตวาดไล่ด้วยเสียงอันดัง ลาจึงหลีกทางให้ พลางเฝ้า มองดูม้าทหารผู้งามสง่าอยู่ในเครื่องประดับเต็มยศอย่างโก้หรู นั้นเยื้องย่างผ่านไป
เมื่อย้อมมองดูตนเองเเล้วลาก็ได้เเต่นึกอิจฉาในลาภยศของ ม้าทหาร
เเต่ทว่าหลังจากม้าทหารได้รับบาดเจ็บในสนามรบ เเละมิอาจ ออกสนามได้อีก มันก็ถูกส่งมาทำงานหนักในไร่ในนา ต้องลาก เกวียนที่บรรทุกสัมภาระหนักๆ ทุกวันอย่างตรากตรำ
ลามองอดีตม้าทหารอย่างเวทนาเเละเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น
ผู้ที่หลงในยศศักดิ์ เมื่อตกต่ำเเล้วมักโดดเดี่ยวเเละเจ็บปวด ไม่ควรค่าเเก่การที่เราจะอิจฉา
(59) ลาทะนงตน
สิงโตเห็นลาตัวอ้วนอยู่ในคอก จึงค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไป หมายจะตะปบลาด้วยกรงเล็บอันเเหลมคม
เเต่ไก่ตัวหนึ่งที่อยู่ในคอกได้โก่งคอส่งเสียงขันดังลั่น สิงโตจึง วิ่งหนีผละจากคอก เพราะทั้งเกลียดทั้งกลัวเสียงของไก่เป็น ยิ่งนัก
ฝ่ายลาเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจว่าสิงโตกลัวตน จึงได้ออกจากคอก วิ่งไล่สิงโตอย่างลำพองใจ
"ฮะ ฮ่า เจ้าสิงโตตัวโต จะวิ่งหนีไปไหนรึ"
เมื่อสิงโตวิ่งหนีพ้นเสียงไก่เเล้วจึงหันมาตะครุบลากินเป็นอาหาร อันโอชะของเย็นวันนั้น
คนโง่เขลามักทำยโสโอหังว่าตนเก่ง
(60) ลาลืมตน
ลาตัวหนึ่งขโมยหนังสิงโตจากนายพรานมาได้ก็ดีใจนัก
มันเอาหนังสิงโตคลุมร่างเเล้วก็เที่ยวได้คอยดักซุ่มอยู่ตามพุ่มไม้ เมื่อสัตว์อื่นๆ เดินผ่านมาลาก็กระโดดออกมาจากที่ซ่อน สัตว์ อื่นๆ ไม่ทันสังเกตก็ตกใจตัวสั่น รีบวิ่งหนีไปไม่ได้คิดชีวิต
วันหนึ่งสุนัขจิ้งจอกเดินผ่านมา ลาก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้
สุนัขจิ้งจอกนั้นก็ตกใจ เเต่ยังนิ่งอยู่เพื่อตั้งสติเเละหาทาง เอาตัวรอด
ลาเห็นสุนัขจิ้งจอกไม่กลัวจึงส่งเสียงขู่คำราม
เมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงของลา สุนัขจิ้งจอกจึงเข้าตะครุบจับลากิน เป็นอาหาร
ผู้ที่อวดอ้างเกินจริงย่อมอวดเก่งลืมตนจนคนอื่นจับผิดได้
(61) ลาหลายนาย
เมื่อได้ทำงานอยู่ในสวนผลไม้ ลาก็รู้สึกว่าตนต้องทำงานหนัก เเละได้กินอาหารไม่เพียงพอ
ลาจึงไปกราบทูลพระอิศวรขอให้หาเจ้านายให้ใหม่
พระอิศวรทรงรำคาญจึงไปอยู่กับช่างปั้นหม้อ
ลาต้องขนดินหนักอึ้งเป็นระยะทางไกลๆ ทุกวันก็ทนไม่ไหว ขอร้องให้พระอิศวรช่วยอีกเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งนี้ลาได้ไปทำงานกับโรงฟอกหนัง ต้องทำงานหนักกว่าเดิม จนลาสำนึกได้ว่าอยู่ที่สวนผลไม้กับเจ้านายคนเเรกนั้นเเสนสบาย นัก เเละ เจ้าลาขี้เบื่อยังรู้อีกด้วยว่า อยู่ที่นี่ถ้ามันทำงาน จนตายก็จะถูกถลก
หนังไปฟอกขายต่อเป็นเเน่
ถ้ารู้จักพอเพียงเเละเจียมตน ก็ย่อมมีความสุขตลอดไป
(62) ลาอยากร้องเพลง
จักจั่นมักจะส่งเสียงร้องเพลงอย่างไพเราะตลอดเวลา
ลาจึงถามจักจั่นว่า
"เพื่อนเอ๋ย เจ้ากินอะไรหรือ จึงมีเสียงที่ไพเราะนัก"
จักจั่นยิ้มเเล้วตอบว่า
"อ๋อ อาหารของข้าก็คือน้ำค้างไงล่ะ"
ลาจึงเข้าใจว่าเพราะจักจั่นกินเเต่น้ำค้าง อย่างเดียว จึงได้มีเสียงไพเราะ เช่นนั้น ถ้าตนลองกินน้ำค้างบ้าง ก็คงจะร้องเพลงได้ไพเราะอย่างจักจั่น
ตั้งเเต่วันนั้นลาก็กินเเต่น้ำค้าง ไม่กินหญ้าที่เป็นอาหาร ของตน ไม่ช้าไม่นานนัก ลาก็ตายไปเพราะ ความหิวโหย
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้อื่นอาจเป็นสิ่งที่เเย่ที่สุดสำหรับเรา
(63) ลิงอวดเก่ง
ชาวประมงวางอวนในเเม่น้ำเเล้วก็กลับไปหาข้าวหาปลากิน ที่กระท่อม
ลิงตัวหนึ่งซึ่งนั่งดูอยู่บนต้นไม้ตั้งเเต่เช้าก็คิดว่าตนก็ทำ อย่างชาวประมงได้เช่นกัน
"ไม่น่าจะยากเลย เเค่วางอวนไว้เพื่อดักปลา"
คิดดังนั้นลิงจอมซนก็ลงจากต้นไม้มาหยิบอวนอีกปากหนึ่งไปที่ ริมน้ำ
เเต่ด้วยความที่ไม่เป็นประสา อวนจึงพันตัวอีรุงตุงนังจนกลิ้ง ตกลงไปในน้ำพลางดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก
หาญทำในสิ่งที่ไม่รู้ ย่อมได้รับความเสียหาย
(64) ลูกเเกะรู้ทันหมาป่า
หมาป่าบาดเจ็บตัวหนึ่งเอ่ยกับลูกเเกะที่ผ่านมาว่า
"เพื่อนเอ๋ย ข้าได้รับบาดเจ็บจนเดินไม่ได้ เจ้าช่วยไปหาน้ำ มาให้ข้าสักหน่อยเถิด ข้าหิวน้ำเหลือเกิน"
ลูกเเกะได้ยินเช่นนั้นก็เเถลงถามว่า
"เเล้วอาหารล่ะ ท่านไม่หิวหรือ"
หมาป่ามองดูลูกเเกะตัวอ้วนเเล้วก็เผลอกลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยว่า
"ไม่ต้องหาอาหารมาให้ข้าหรอก ข้าหาเองได้"
ลูกเเกะหัวเราะเเล้วว่า
"ใช่สิ เมื่อข้าเอาน้ำเข้าไปให้ เจ้าก็จะฉวยโอกาสจับข้ากิน เป็นอาหารน่ะสิ"
คำขอร้องของคนร้าย มักซ่อนกลอุบายไว้ ควรระวัง
(65) ลูกกวางกับทะเล
ลูกกวางตัวหนึ่งมีตาข้างเดียว มันรู้ตัวดีว่าไม่สามารถ ระวังภัยได้ตลอดเวลา เพราะถ้ามีภัยมาทางด้านตา ข้างที่บอด มันก็จะไม่รู้ตัว เพราะมองไม่เห็น
ลูกกวางตาเดียวจึงเดินไปที่ทะเล เเละหันตา ข้างที่บอด ไปทางทะเลเพื่อที่ตาข้างดีจะได้หันไปทาง ชายป่า หากมีภัยมามันก็จะมองเห็น เเละ หลบหนีได้ทัน ขณะนั้นมีเรือเล็กๆ ลำหนึ่งเเล่นมาใกล้ ชายฝั่ง เมื่อ
เห็นลูกกวางจึงเอาปืนยิงใส่หลายนัด จนลูกกวาง ขาดใจตาย
บางครั้ง ภัยอัตรายก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคิดไม่ถึง
(66) ลูกชาวนากับมรดก
เมื่อผู้เป็นพ่อตายเเล้ว ลูกชาวนาทั้งสองก็ชวนกันไปขุดหา สมบัติในสวนองุ่นเพราะพ่อได้สั่งเสียไว้ก่อนตายว่า ทรัพย์สมบัติ ของพ่ออยู่ในสวนองุ่น
"น้องไปขุดตรงนั้นนะ พี่จะขุดตรงนี้"
ลูกชาวนาช่วยกันขุดดินตามที่ต่างๆไปจนทั่วสวนก็ยังไม่พบ สมบัติที่คิดว่าพ่อจะฝังไว้
เเต่สวนองุ่นที่ถูกขุดถูกพรวนดินจนทั่วนั้นก็กลับยิ่งเจริญงอกงาม ดีจนลูกชาวนาสองพี่น้องสามารถขายองุ่นจนได้เงินทองมากมาย
ทั้งสองจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้เป็นมรดก นั้นที่เเท้คือสิ่งใด
ความขยันพากเพียรสามารถก่อให้เกิดทรัพย์
(67) ลูกสาวกับพ่อ
พ่อคนหนึ่งไปเยี่ยมลูกสาวคนโตที่เเต่งงานกับชาวสวน
"ลูกสบายดีหรือไม่ ต้องการอะไรหรือเปล่า"
พ่อถามอย่างห่วงใย ลูกสาวคนโตจึงตอบว่า
"สบายดีจ้ะพ่อ ลูกไม่เคยต้องการอะไรอีกนอกจากอยาก ให้ฝนตกมามากๆ พืชผลในสวนจะได้งอกงามดี"
เมื่อไปเยี่ยมลูกสาวคนเล็ก พ่อก็ถามเช่นเดียวกันกับที่ถาม ลูกสาวคนโต
ลูกสาวคนเล็กซึ่งเป็นเมียช่างปั้นหม้อก็ตอบว่า
"ลูกสบายดีจ้ะพ่อ เเต่ต้องการอย่างเดียวคืออยากให้ฝน ไม่ตกเลย ถ้ามีเเดดจ้า หม้อดินที่ตากไว้ก็จะเเห้งเร็วจ้ะพ่อ"
คนเรามักต้องการเเต่สิ่งที่เป็นผลประโยชน์เเก่ตน
(68) ลูกอึ่งอ่างกับเเม่
ลูกอึ่งอ่างเห็นเเม่วัวเหยียบพี่น้องของมันตายหมด จึงรีบวิ่งไป ฟ้องเเม่อย่างอกสั่นขวัญหาย
"ตัวมันใหญ่โตมากจ้ะเเม่ สัตว์สี่เท้าอะไรก็ไม่รู้ ลูกไม่เคยเห็น"
เเม่อึ่งอ่างจึงพองตัวให้ลูกดูพลางถามว่า
"ตัวมันใหญ่เท่านี้ได้ไหมลูก"
ลูกอึ่งอ่างตอบว่าใหญ่กว่านั้นอีก เเม่อึ่งอ่างก็พองตัวขึ้นอีก เเต่ลูกก็บอกว่าจะพองตัวให้ใหญ่เเค่ไหนก็คงไม่เท่าสัตว์ตัวนั้น ได้หรอก
เเต่เเม่อึ่งอ่างไม่ยอมหยุด กลับพยายามเบ่งตัวให้ตัวพองขึ้นอีก ครั้นจนพุงเเตกตายในที่สุด
ทำสิ่งใดไม่ดูกำลังความสามารถของตนก็ต้องพบกับภัย อันตรายเเน่นอน
(69) วัวกับเเมลงหวี่
วัวนั้นเป็นสัตว์ตัวใหญ่เเละก็มีพละกำลังมิใช่น้อย เเต่เมื่อสัตว์ตัวกระจิริด อย่างเเมลงหวี่มาก่อกวน ท้าทายเเทนที่จะวางตนนิ่งเฉยไม่ยุ่งด้วย วัวกลับ ไม่ยอมให้เเมลงหวี่คุยข่มตนซึ่งตัวใหญ่กว่า
เเมลงหวี่จึงท้าให้สู่กัน ถ้าใครชนะก็เเสดงว่าผู้นั้น ยิ่งใหญ่กว่า
เมื่อวัวตอบตกลง เเมลงหวี่ก็บินตอมวนเวียนอยู่รอบๆ เขาเเละเหนือศีรษะของวัวในขณะที่วัวไม่สามารถจะ ขวิดเเมลงหวี่หรือทำอะไรเเมลงตัวน้อยๆ ได้เลย
วัวได้เเต่อับอายขายหน้าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่มามุงดูกันเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น
ถ้าวางตนนิ่งเฉยไม่วุ่นวายกับสิ่งที่ไม่คู่ควร ก็ไม่ต้อง อับอายเปลืองตัว
(70) วัวสามสหาย
ครั้งหนึ่งยังมีวัวสามตัวได้ตกลงสัญญาเป็นเพื่อนตายต่อกัน
ดังนั้นวัวทั้งสามจึงมักไปไหนด้วยกันเสมอๆ เเละคอยระเเวด ระวัง ภัยให้เเก่กันด้วย
สิงโตที่จ้องหาทางจะกินวัวอยู่จึงเเอบไปกระซิบกับวัวตัวที่หนึ่งว่า วัวตัวที่สองกับที่สามนั้นนินทาด่าว่าลับหลังวัวตัวที่หนึ่ง
เเล้วสิงโตก็ไปยุเเหย่ตัวที่สองว่า วัวตัวที่หนึ่งกับที่สามคิดทำร้าย วัวตัวที่สอง
เเล้วยุเเหย่วัวตัวที่สามในทำนองนั้นเช่นกัน
ต่อมาวัวทั้งสามจึงเริ่มเเตกคอ ไม่ไว้ใจกันเเละกัน ต่างก็ออก ไปหากินกันคนละที่ จนสิงโตมีโอกาสไปดักกินวัวทีละตัว ได้อย่างสบาย
เมื่อแตกสามัคคี เมื่อนั้นความหายนะมาถึง
(71) วัวหนุ่มกับวัวสาว
วัวหนุ่มมักจะขยันขันเเข็งอดทนทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา วัวสาวจึงกล่าวว่า
"ชีวิตท่านน่าเบื่อจังนะ ดูชีวิตข้าสิได้วิ่งเล่นสบายในทุ่งหญ้า ทุกวันเลย"
ครั้นเมื่อถึงหน้าเทศกาล วัวหนุ่มก็ได้หยุดทำงาน ในขณะที่ วัวสาวถูกฆ่าบูชาเทพยดา
วัวหนุ่มจึงคิดในใจว่า
"ถ้าชีวิตที่มีเเต่เที่ยวเล่นต้องพบจุดจบเช่นนี้ ข้าขอทำงานหนัก ทั้งชีวิตดีกว่า"
ผู้ที่รู้จักทำงานย่อมมีคุณค่ากว่า
(72) สองเกลอกับขวาน
ชายสองคนเป็นเพื่อนเกลอร่วมเดินทางได้กันจนพบขวานเล่มหนึ่ง ตกอยู่
"ขวานเล่มนี้เป็นของข้า เพราะข้าพบก่อน"
ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางก้มลงหยิบขวานมาถือไว้
"เราสองคนเจอพร้อมกันนะ จะว่าเจ้าพบก่อนได้อย่างไร"
บังเอิญขณะนั้นชายเจ้าของขวานผ่านมาจึงเอ่ยขึ้นว่า
"อยู่นั่นเอง ขโมยที่ลักขวานของข้าไป"
"ตายเเล้วพวกเรา" ชายที่ถือขวานร่ำร้อง
เพื่อนเกลอของเขาจึงรีบกล่าวว่า
"อย่าพูดว่า "พวกเรา" สิ ข้าไม่เกี่ยวข้องด้วยนะ"
คนเรามักอยากร่วมเเบ่งปันเเต่สิ่งดีๆ ไม่อยากร่วมรับโทษ รับภัยด้วย
(73) สองสาวใช้กับไก่
หญิงสาว ๒ คนทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านหลังหนึ่ง
เเม่เฒ่าเจ้าของบ้านมักจะลุกมาปลุกสองสาวใช้ ตอนใกล้รุ่งทกๆวันเมื่อไก่ขัน
"ไก่ขันเมื่อใดเป็นตื่นมาปลุกเราทุกที"
สองสาวใช้บ่นอย่างไม่พอใจเเละคิดว่า ไก่นั้นเป็นต้น เหตุ ที่ทำให้พวกตนไม่ได้นอนสบายๆ ตอนฟ้าสาง
สองสาวใช้จึงช่วยกันฆ่าไก่เสีย ครั้นเมื่อไม่มีไก่ คอยขัน ตอนรุ่งสางอีกเเล้ว เเม่เฒ่าจึงมักคอยตื่นขึ้น กลางดึกเสมอๆ เพราะกลัวว่าจะนอนตื่นสาย
สองสาวใช้จึงต้องลุกมาทำงานตั้งเเต่กลางดึก ไม่ได้นอนสบายๆอย่างที่หวังไว้
ให้ทุกข์เเก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว
(74) สามขุนนาง
คณะขุนนางเเห่งนครหนึ่งหารือกันเรื่องซ่อมเเซมกำเเพงเมือง
ขุนนางคนหนึ่งมาจากตระกูลช่างไม้ได้เสนอขึ้นว่า
"ใช้ไม้ซุงทำกำเเพง รับรองว่าเเข็งเเรงเเน่นอน"
ขุนนางคนที่สองมาจากตระกูลช่างทำหนังก็เสนอว่า
"ใช่หนังสัตว์สิ ทั้งทนทานเเละเเข็งเเรง"
ขุนนางคนที่สามมาจากตระกูลช่างก่ออิฐก็เสนอว่า
"ไม้ซุงกับหนังสัตว์หรือจะสู้อิฐได้"
คนเราย่อมคิดว่าสิ่งที่ตนถนัดนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
(75) สามีผู้ใจดี
ชายคนหนึ่งมีภรรยาสองคน เขามักตามใจภรรยาทั้งสอง อยู่เสมอ เพราะความรักอันเต็มเปี่ยม
ภรรยาสาวนั้นอยากให้สามีวัยกลางคนดูหนุ่มเเน่นตลอดเวลา จึงถอนผมหงอกออกเสมอ
ฝ่ายภรรยาที่อายุมากก็อยากให้สามีดูมีอายุเหมือนตนจึง คอยถอนผมดำออกไปเพื่อให้เหลือเเต่ผมหงอก
วันหนึ่งสามีไปส่องกระจกเห็นตัวเองมีศรีษะล้านเลี่ยน ก็ต้องร้องลั่นบ้านด้วยความตกใจสุดขีด
ผู้ที่ตามใจคนอื่นจนเกินไป ก็สิ้นความเป็นตัวเอง
(76) สิงโตกับที่ปรึกษา
สิงโตถามเเกะว่า
"ลมหายใจข้ามีกลิ่นเป็นอย่างไรบ้าง"
เมื่อเเกะดมเเล้วก็ตอบตามตรงว่า
"เหม็นมากเลยนะท่าน"
สิงโตโกรธมากจึงจับเเกะกินเสีย เเล้วก็เรียกหมาป่าเข้ามาถาม
"ไม่มีกลิ่นเลยท่าน"
คำตอบของหมาป่าทำให้สิงโตโกรธ จึงจับหมาป่ากินเสีย เพราะคิดว่าหมาป่าเอาเเต่ประจบ ไม่มีความจริงใจ
ต่อมาสิงโตเรียกสุนัขจิ้งจอกมาถามบ้าง สุนัขจิ้งจอกจึงตอบว่า
"วันนี้ข้าเป็นหวัด จมูกคงดมอะไรไม่ได้กลิ่นหรอกท่าน"
สิงโตเห็นว่ามีเหตุผลจึงปล่อยตัวไป
ถ้ามีปัญญา ก็สามารถเอาตัวรอดได้
(77) สุนัขเฝ้าบ้าน
ชาวไร่คนหนึ่งเลี้ยงเเกะเเละเเพะไว้หลายตัว นอกจากนี้ยังเลี้ยงวัว ไว้ไถนาตัวหนึ่ง กับสุนัขอีก ๒ - ๓ ตัวไว้เฝ้าบ้าน
ครั้นในฤดูหนาวปีหนึ่งมีหิมะตกหนักตลอดเวลาจนชาวไร่ไม่ สามารถออกจากบ้านได้เลย
เมื่อเสบียงหมดลง เขาจึงฆ่าเเกะเเละเเพะกินเป็นอาหาร
เดือนต่อมาก็ฆ่าวัวกินเป็นอาหารประทังชีวิต
สุนัขเฝ้าบ้านจึงปรึกษาหารือกันอย่างร้อนใจว่า
"เเม้เเต่วัวที่เลี้ยงไว้ไถนาเขาก็ยังต้องฆ่ากินเลย ต่อไปคง ถึงคราว ของเราเเน่ พวกเราจะอยู่ต่อไปหรือจะหาทางหนีดีล่ะ"
เมื่อเห็นภัยเกิดเเก่คนใกล้ตัว ก็ควรหาทางระวังตังเองด้วย
(78) สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม
สุนัขจิ้งจองตัวหนึ่งชอบไปขโมยลูกไก่เเละเเม่ไก่ ของชาวบ้านมากินเป็นประจำ
วันหนึ่งพวกชาวบ้านให้พรานดักซุ่มรอเล่นงาน สุนัขจิ้งจอก เเต่สุนัขจิ้งจอกเห็นเข้าก่อนจึงรีบวิ่งหนี ออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว
พรานยังคงไล่ล่าตามมาติดๆ สุนัขจิ้งจอกจึงกระโดด เข้าไปซ่อนตัวในดงหนามที่ชายป่า
หนามอันเเหลมคมทิ่มตำสุนัขจิ้งจอกจนเจ็บปวดไปทั้งตัว มันตัดพ้อดงหนามว่า
"ทำไมต้องทำร้ายเราด้วย ในเมื่อเราไม่เคยทำร้ายเจ้า"
ดงหนามจึงตอบว่า ลูกไก่เเละเเม่ไก่ก็ไม่เคยทำร้าย สุนัขจิ้งจอก เช่นกัน เเละการที่กระโดดเข้ามาก็ทำให้ กิ่งก้านของดงหนามหักรานไปไม่น้อย
ก่อนจะตำหนิว่าใคร ควรย้อนดูตนเสียก่อนว่าเคยทำผิด เช่นนั้นมาก่อนหรือไม่
(79) สุนัขจิ้งจอกกับไก่บ้าน
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งอยากกินไก่บ้านมากจึงเเกล้งถาม ด้วยอุบายว่าไก่ตัวนั้นขันเสียงไพเราะเหมือนผู้เป็นพ่อ ได้หรือไม่
ไก่บ้านหลงกล จึงหลับตาโก่งคอขันทันที สุนัขจิ้งจอก จึงฉวยโอกาสงับคอไก่เเล้วพาวิ่งไป
ชาวนาจึงตะโกนร้องว่าจิ้งจอกขโมยไก่ของตน
ไก่จึงหลอกให้สุนัขจิ้งจอกร้องบอกชาวบ้านว่า ไก่ตัวนี้เป็นของมันมิใช่ของชาวบ้าน
จิ้งจอกเจ้าเล่ห์คิดว่าตนฉลาดเเต่ที่เเท้ยังขาดความเฉลียว
ดังนั้นมันจึงอ้าปากร้องบอกชาวบ้านตามที่ไก่เเนะนำ ไก่จึงได้ทีรีบบินปรื๋อออกจากปากหนีไปหาเจ้าของ อย่างรวดเร็วเเล้วก็หัวเราะเยาะ สุนัขจิ้งจอกเป็นการใหญ่
ถ้าพูดมากไป ก็อาจทำให้เสียของดีๆ ที่อยู่ในกำมือเเล้ว ได้เช่นกัน
(80) สุนัขจิ้งจอกกับฝูงเหลือบ
เม่นตังหนึ่งเดินผ่านมาเห็นสุนัขจิ้งจอกบาดเจ็บติดอยู่ในซอกหิน ริมลำธาร
มีเหลือบฝูงใหญ่ตอมดูดเลือดของมัน เม่นเวทนาจึงเอ่ยว่า
"ข้าจะไล่พวกเหลือบเหล่านั้นให้ดีไหม"
สุนัขจิ้งจอกส่ายหน้าเเล้วว่า
"ขอบใจเพื่อนเอ๋ย ถ้าท่านไล่เหลือบฝูงนี้ไป ฝูงใหม่ที่หิวโซก็จะ มาตอมดูดเลือดข้าอีก เเต่ฝูงนี้มันอิ่ม เเล้วมันก็อยู่เฉยๆ ข้าจึงไม่เจ็บปวดมากนัก"
เมื่อสิ้นคนที่ได้ผลประโยชน์จากเรา ก็อาจมีคนใหม่ๆ ที่หวังผล ประโยชน์จากเราเข้ามาในชีวิตอีกจนได้
(81) สุนัขจิ้งจอกกับลา
วันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกเดินไปพบสิงโตที่กลางป่า มันรู้ว่าสิงโต จะต้องจับมันกินเป็นอาหารเเน่ๆ สุนัขจิ้งจอกจึงรีบกล่าวกับ สิงโตว่า
"ข้ารู้จักลาตัวอ้วนตัวหนึ่ง ข้าจะไปหลอกมันมาให้ท่าน"
หลังจากนั้นสุนัขจิ้งจอกก็รีบไปหลอกพาลามาที่กลางป่า
ลายอมตามมาเพราะได้เคยตกลงทำสัญญาเป็นเพื่อนตาย ต่อกันมานานเเล้ว
เมื่อลาเดินเข้าไปติดกับที่สิงโตวางไว้ สิงโตก็หันไปตะปบ สุนัขจิ้งจอกก่อน เพราะคิดว่าลานั้นเก็บไว้กินทีหลัง สุนัขจิ้งจอกก็ได้
คนไม่ซื่อกับมิตรสหายย่อมไม่มีใครอยากคบหา
(82) สุนัขจิ้งจอกกับหมี
สุนัขจิ้งจอกเฒ่านั่งคุยกับหมีเฒ่าถึงประวัติชีวิตของพวกตนตั้งเเต่ วัยหนุ่มจนถึงวัยชราอย่างภาคภูมิใจ
"ข้าน่ะไม่เคยไปกินคนที่ตายเเล้วเลยนะ เจ้ารู้หรือไม่"
หมีอวดในความมีคุณธรรมของตน
เเต่สุนัขจิ้งจอกหัวร่อเบาๆ พลางว่า
"ถ้าเจ้าอยากให้ใครนับถือ เจ้าก็ไม่ควรกินคนที่ยังมีชีวิตอยู่"
ช่วยคนที่ยังไม่ตาย ย่อมเป็นที่น่านับถือกว่าช่วยคนที่ตายไปเเล้ว
(83) สุนัขจิ้งจอกกับสิงโต
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าเมื่อสิงโตเดินผ่านมา มันก็ตกใจ จนสิ้นสติเพราะไม่เคยเห็นสิงโตมาก่อน
เดือนต่อมามันพบสิงโตอีกครั้งที่ริมลำธาร มันตกใจไม่น้อย เเต่ก็ยังควบคุมสติได้ ไม่ถึงกับเขาสั่นเป็นลมไปอีก
เดือนต่อมามันพบสิงโตที่ทุ่งหญ้าชายป่า มันก็ไม่รู้สึกกลัวอีก เเม้เเต่น้อย เเละยังกล้าวิ่งเข้าไปทักสิงโตอีกด้วยว่า
"สวัสดี ท่านเจ้าป่า วันนี้อากาศดีนะท่าน"
คนเรามักไม่ยำเกรงผู้ที่คุ้นเคยกันดี
(84) สุนัขผู้ซื่อสัตย์
บ้านหลังหนึ่งเลี้ยงสุนัขเอาไว้เฝ้าบ้าน สุนัขตัวนั้น ซื่อสัตย์มากในยามกลางคืนขณะที่มันนอนหลับ หากได้ยินเสียงผิดปกติมันก็จะลุกขึ้นมาเห่าเสมอเพื่อ เตือนภัยเเก่เจ้าของบ้าน
คืนหนึ่ง มันได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำใบไม้ดังกรอบเเกรบ เเผ่วเบาที่ใกล้รั้วบ้าน
เเม้จะได้เห็นว่าเป็นใครมันก็ส่งเสียงเห่าคำรามขู่ไว้ก่อน
เจ้าหัวขโมยจึงโยนเนื้อซุบยาเบื่อชิ้นหนึ่งเข้ามาในรั้ว สุนัขเฝ้าบ้านเดินเข้าไปดมๆ เเต่ก็ไม่กิน
มันยังคงเห่าต่อไปจนกระทั่งเจ้าของบ้านออกมาดู เเล้วก็ช่วยกันจับขโมยได้ในที่สุด
อามิสสินบนนั้นซื้อความซื่อสัตย์ภัคดีไม่ได้
(85) สุนัขรับเชิญ
สุนัขเฝ้าบ้านเศรษฐีเอ่ยชวนเพื่อนที่เป็นสุนัขจรจัดว่า
"ค่ำนี้ที่บ้านเจ้านายข้ามีงานเลี้ยง ข้าขอเชิญเจ้าไปร่วมงาน ด้วยนะ รับรองว่ามีอาหารดีๆ กินมากมายทั้งคืนเชียวล่ะ"
สุนัขจรจัดรับคำเชิญเเล้วก็รีบไปที่บ้านเศรษฐีตั้งเเต่หัวค่ำ
เเทนที่สุนัขจรจัดจะเข้าทางหน้าบ้าน มันกลับตรงไปที่ครัว หลังบ้าน เมื่อเห็นว่ามีอาหารมากมายมันก็ดีใจกระดิกหางไปมา
พ่อครัวบังเอิญมาเห็นเข้าจึงคิดวาเป็นสุนัขที่จะมาขโมยกิน อาหารจึงจับตัวสุนัขจรจัดเหวี่ยงออกไปทางหน้าต่างทันที
เมื่อสุนัขตัวอื่นๆ เห็นสุนัขจรจัดวิ่งพลางร้องโอดโอยเช่นนั้น จึงถามว่าไปงานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง
สุนัขจรจัดจึงเเกล้งตอบเเก้เก้อว่าตนเมาไปหน่อยจึงเข้าบ้าน เศรษฐีไม่ถูก
เเขกที่ดีควรเข้าทางประตูหน้าเสมอ
ที่มา: http://www.fungdham.com/fable/fable.html
Search e4thai.com
Loading
Saturday, January 9, 2010
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment